บทที่ 273 การต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
เมื่อได้ยินเช่นนี้คุณนายจิ้นก็เลิกคิ้วขึ้น
“ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้ล้มเลิกการค้นหาไปแล้วหรือ?แล้วเจอตัวได้อย่างไร?”
นายหญิงหชินโบกมืออย่างปัดๆ
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ฉันเห็นตากวนในสภาพนั้น เกรงว่าเขาจะเหลือเวลาอีกไม่มาก เหมือนเวลาของเขาใกล้จะหมดเต็มที และเขาก็ไม่อยากรู้สึกติดค้างอะไรกับตัวเองอีก”
หัวข้อนี้ค่อนข้างตึงเครียด ทำให้ทุกคนก็เงียบไปชั่วขณะ
ในที่สุด ก็เป็นจิ่งหนิงที่ทำลายบรรยากาศ
“ดูเหมือนจะใกล้เวลาอาหารแล้วใช่ไหมคะ?คุณย่าคะ หนูจะไปดูครัวด้านหลังให้นะคะ”
นายหญิงหชินพยักหน้า
ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน ทางฝั่งของตระกูลกวนได้ข่าวมาว่าภรรยาของนายท่านจิ้นกลับมาแล้ว จึงส่งคนมาทานข้าวที่นี่ด้วย
แต่นายท่านกวนไม่สะดวกที่จะมา เนื่องจากปัญหาสุขภาพของเขา ดังนั้นกวนจี้หมิงจึงให้เด็กรุ่นเล็กประมาณสองสามคนมาแทน ซึ่งถือเป็นการทักทายแทนเขา กวนเสว่เฟยในฐานะที่เป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวในรุ่นหลังนี้ เธอจึงถูกเรียกมาด้วย
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลู่หลันจือที่แทบจะไม่ได้กลับคฤหาสน์บ้านลู่ก็มาด้วย
ทันทีที่เดินผ่านประตูเข้าไป ก็มีเสียงดังมาจากในห้อง ชักชวนกวนเสว่เฟย คุณนายจิ้น และคนอื่นๆ ให้เข้าร่วมบทสนทนา
ทั้งชีวิตของนายหญิงหชินมีเพียงลูกสาวสองคน ลูกชายของเธอเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก นี่คือสิ่งที่คนเรียกกันว่าคนแก่ฝังศพคนหนุ่ม
เดิมทีเธอตั้งใจจะเลี้ยงดูลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอให้ดี แต่เธอไม่ชอบนิสัยขี้กลัวของลูกสาวคนนี้ ดังนั้นนายหญิงหชินจึงไม่ค่อยสนิทสนมกับเธอ
อาหารกลางวัน ทุกคนรับประทานอาหารร่วมกัน
มีอาหารมากมายหลากหลายประเภท ลู่หลันจือช่วยคุณนายใหญ่ทักทายทุกคนที่มา
เมื่อเลือกที่นั่ง ไม่รู้ว่าจงใจหรือเปล่า อยู่ ๆ กวนเสว่เฟยก็ถูกจัดให้นั่งอยู่ด้านข้างของลู่จิ่งเฟิน
“อาเซิน หลานไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวงนานแล้ว พวกเราทุกคนคิดถึงหลานมาก เสว่เฟยเองก็คิดถึงหลานเหมือนกัน มัวทำงาน จะว่าไปแล้วหลานทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนเก่ากัน ไม่ได้นั่งคุยกันดีๆ มานานแค่ไหนแล้ว วันนี้เป็นโอกาสที่หลานๆ จะได้คุยกัน คุยกันเสียหน่อย หนิงหนิง เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
เธอพูดพร้อมกับมองจิ่งหนิงอย่างยั่วเย้า
เมื่อคนอื่นๆ บนโต๊ะเห็นดังนั้น ก็ทำตัวไม่ถูก
จิ่งหนิงกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่คุณนายใหญ่ก็แทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์:“หลันจือ จัดที่นั่งยังไงของลูกเนี่ย?ลูกให้เสว่เฟยนั่งตรงนั้น แล้วหนิงหนิงจะนั่งตรงไหน?”
ลู่หลันจือแกล้งหัวเราะออกมา
“ให้หนิงหนิงนั่งข้างๆ หนูก็ได้ค่ะ หนูไม่ได้คุยกับหนิงหนิงมานานแล้ว”
“อย่าเชียวนะ!”
เมื่อเห็นว่าคุณนายใหญ่กำลังโกรธ เนื่องจากตรงนี้มีคนของตระกูลกวนอยู่ ตระกูลกวนกับตระกูลลู่ก็รู้จักกันมานาน จึงไม่ควรที่จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ในงานเลี้ยงรวมตัวแบบนี้
จิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย“คุณย่าคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันได้ยินมาว่าคุณกวนและอาเซินเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันเมื่อสมัยมัธยมปลาย คงจะดีหากได้นั่งพูดคุยเรื่องเก่าๆ ด้วยกัน ตรงนี้ก็มีที่นั่งว่างอยู่ใช่ไหมคะ?ฉันนั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับนั่งลงบนที่นั่งด้านซ้ายมือของลู่จิ่งเซิน
เมื่อคุณนายใหญ่เห็นเช่นนั้น เธอก็สงบลง
คุณนายตระกูลกวนรู้สึกอายเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพียงยิ้มอย่างเจื่อนๆ
“คุณนายใหญ่ ดูสิ เด็กคนนี้ไร้เดียงสาจริงๆ”
นายหญิงหชินไม่รู้จะพูดอะไร เธอทำได้เพียงยิ้มอย่างสุภาพ
“ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นกัน จะคุ้นเคยกันหน่อยก็คงไม่แปลก”
เหตุการณ์ถูกคลี่คลาย งานเลี้ยงก็ได้เริ่มขึ้น
ในระหว่างงานเลี้ยง ลู่หลันจือพยายามส่งสัญญาณให้กับกวนเสว่เฟย เธอพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และหาเรื่องคุยกับลู่จิ่งเซินต่อไป
แม้ว่าท่าทีของลู่จิ่งเซินจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่สนใจเธอ แต่กวนเสว่เฟยก็ไม่หยุดที่จะเข้าหาเขา
ถ้าอีกฝ่ายไม่ตอบ เธอก็เปลี่ยนเรื่องคุย
ในขณะนั้น ลู่หลันจือและคุณนายแห่งตระกูลกวนก็พยายามช่วยเหลือเธอ
ไม่ต้องพูดถึง ลู่จิ่งเซิน แม้แต่ผู้ที่อยู่รอบๆ ก็รู้สึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
คิ้วของนายหญิงหชินแทบจะขมวดเป็นปม แต่นายท่านลู่กลับดูไม่ออก เขาเป็นชายที่อายุมากแล้ว ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของผู้หญิง เขาเพียงรู้สึกว่า วันนี้บรรยากาศระหว่างรุ่นเล็กแปลกไปเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่คุณนายจิ้นรู้สึกโกรธอยู่เล็กน้อยในใจ
เด็กตระกูลลู่คนนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
มีสะใภ้ที่สวยงามราวกับนางฟ้าอยู่ที่บ้านยังไม่คิดจะใส่ใจ แต่กลับออกไปเด็ดดอกไม้รายทางมาเชยชม
นี่ตระกูลกวนสอนลูกสาวแบบไหนเนี่ย?
มาทานอาหารเย็นที่บ้านของคนอื่น แล้วยังทำตัวใกล้ชิดกับเจ้าบ้านต่อหน้าภรรยาของเขา เธอเคยได้รับการอบรมบ้างหรือเปล่า?
อนิจจา ทั้งหมดคงเป็นเพราะเธอเจอหลานชายของเธอช้าไป
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ หากพบตัวจิ่งหนิงเร็วกว่านี้อีกหน่อย จิ่งหนิงอาจไม่ต้องมานั่งหัวเสียอยู่ตรงนี้ก็ได้
คุณนายจิ้นรู้สึกปวดใจ ในขณะที่ปลอบโยนจิ่งหนิง
“มาเถอะ หนิงหนิง หนูทานนี่สิ ปลาตัวนี้อร่อยมาก แถมยังดูน่าอร่อยอีกด้วย”
จิ่งหนิงรีบรับปลามาด้วยรอยยิ้ม“คุณย่าจิ้นดีกับฉันเกินไปแล้ว นี่ควรเป็นหน้าที่ของฉัน แต่ฉันกลับรบกวนคุณ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันก็เป็นเพื่อนสนิทกับนายหญิงหชินมาหลายสิบปีแล้ว ที่นี่ก็เหมือนบ้านของฉัน พวกเธออย่าเห็นฉันเป็นคนแปลกหน้าไปเลย”
“ไม่แน่นอนค่ะ”
หลังจากที่คุยกันสักพัก จิ่งหนึงจึงหันไปมองด้านข้างของเธออีกครั้ง เพียงเพื่อดูว่ากวนเสว่เฟยกำลังพูดอะไรกับลู่จิ่งเซิน
ทั้งสองมีท่าทีสนิทสนม โดยที่กวนเสว่เฟยนั่งเบนตัวไปทางเขา
เสื้อสเวตเตอร์คอวีเผยให้เห็นไหปลาร้าที่บอบบางอย่างไม่ได้ตั้งใจ ถ้าคนที่ไม่รู้มองไป คงคิดว่าพวกเขาช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
เมื่อกวนเสว่เฟยสังเกตเห็นสายตาของจิ่งหนิง เธอยิ้มขึ้น“คุณจิ่งหนิงคะ ฉันได้ยินมาว่าคุณชอบทานเพรียงหัวหอม วันนี้ทานเยอะๆ นะคะ”
หลังจากพูดเสร็จ เธอก็หยิบเพรียงหัวหอมขึ้น และวางลงบนจานตรงหน้าเธอ
จิ่งหนิงเลิกคิ้ว สีหน้าเธอนิ่ง
เธอไม่รู้ว่ากวนเสว่เฟยได้ยินมาจากไหนว่าเธอชอบกินเพรียงหัวหอม แต่เธอแพ้อาหารทะเล ไม่เคยกินอาหารทะเลมาก่อน
เธอกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่เห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอยิ้ม พร้อมกับพูดขึ้น:“กินสิคะ! ฉันได้ยินมาว่าคุณโตที่เมืองจิ้นไม่ใช่เหรอคะ?ถึงแม้จะไม่ไกลจากทะเล แต่ก็ยังคงเป็นเมืองชั้นใน คุณอาจจะไม่เคยได้ลองทานอาหารทะเลดีๆ อย่างเพรียงหัวหอม วันนี้ก็ลองชิมดูหน่อยสิคะ”
“ใช่ๆ เพรียงหัวหอมพวกนี้ เสว่เฟยนำมาเองเลยนะ ถ้าชอบจะได้ให้เสว่เฟยนำมาให้บ่อยๆ เธอมีแหล่งของเธออยู่แล้ว”
จิ่งหนิงแสยะยิ้มเล็กน้อย และทันใดนั้นเธอก็ไม่อยากปฏิเสธ
เธอเบนสายตาที่สวยงามของเธอกลับไป และพูดอย่างแผ่วเบา:“ได้ค่ะ”
จากนั้นเธอจึงเทน้ำของเพรียงหัวหอมไปไว้อีกด้านหนึ่ง“ขอบคุณค่ะคุณกวน รอให้หายร้อนก่อนแล้วค่อยทานนะคะ”
เมื่อกวนเสว่เฟยเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงไม่คิดจะเซ้าซี้ เธอหันหน้ากลับไปทางลู่จิ่งเซิน และคุยกับเขาต่อ
ที่จริงแล้วบทสนทนานี้ มีเพียงกวนเสว่เฟยที่พูดอยู่คนเดียว ลู่จิ่งเซินเพียงตอบแบบขอไปที เขาแทบไม่พูดอะไรกลับเลย
“จริงสิ วันนี้พี่ชายของฉันก็กลับมาแล้วนะคะ คุณรู้ไหม?”
ในครั้งนี้ ลู่จิ่งเซินก็มีปฏิกิริยาตอบกลับ เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ“ฉันรู้”
“เขาติดต่อกับคุณแล้วใช่ไหม?จริงด้วย พวกคุณสนิทกันขนาดนี้ เขากลับมาจะต้องบอกคุณแน่นอน”
กวนเสว่เฟยครุ่นคิดสักพัก แล้วจึงพูดขึ้นว่า“คืนนี้เขากับเซ่เซียวจะไปตี้จิ่นด้วยกัน ก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ เขาโทรหาฉันบอกให้ฉันตามไปหา พวกเราจะไปด้วยกันไหมคะ?”