บทที่ 279 เสียงเคาะประตูกลางดึก
จิ่งหนิงมอบหมายให้เสี่ยวเฉินแจ้งผลให้เขาทราบ เมื่อ เห้อเฉินจุนฟังเสร็จ จึงรู้สึกไม่ยินดีเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ถึงแม้เขาจะไม่ยินดีก็ไม่มีประโยชน์อะไร โชคดีที่เขาเซ็นสัญญากับอานหนิงกั๋วจี้ เพียงห้าปี ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งปี เขาจะถือเอาช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาพักร้อนของเขาก็ได้ รอให้สัญญาหมดอายุ ค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เรื่องนี้ถือว่าจบลงไปแล้วสำหรับจิ่งหนิง
ส่วนเรื่องของเขากับกวนเสว่เฟยนั้น ไม่ได้อยู่ในความคิดของเธอ
ชั่วพริบตา เวลาหนึ่งสัปดาห์ก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าวันเกิดของหัวเหยาใกล้เข้ามาแล้ว จิ่งหนิงยกนิ้วของเธอขึ้นมานับ แต่ไม่ว่าจะนับอย่างไรเธอก็พบว่า เธอไม่สามารถไปฉลองวันเกิดของเธอได้
เนื่องจากหัวเหยาไปอยู่ต่างประเทศ นอกเหนือจากการติดต่อกับเธอเป็นครั้งคราว ก็ดูเหมือนว่าหัวเหยาจะขาดการติดต่อกับที่นี่ไปเลย
รวมทั้งหัวจิ้งเจ๋อและหัวยู่พี่ชายแท้ๆ ของเธอที่ยังอยู่ในจีน
ในฐานะนอก จิ่งหนิงไม่กล้าพูดอะไรมาก ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงห่วงใยเธอ เนื่องจากเธอเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศตัวคนเดียว จิ่งหนิงกลัวว่าเธอจะรู้สึกโดดเดี่ยว
ในวันเกิดของหัวเหยา จิ่งหนิงจับเวลาไว้ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนตรง เธอก็รีบโทรหาหัวเหยาทันที
ฝั่งตรงข้ามรับสายอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงสดใสของหัวเหยาก็ดังขึ้น “หนิงหนิง!”
“ที่รัก สุขสันต์วันเกิด”
“ขอบคุณนะ”
เธอฟังออกว่าหัวเหยามีความสุขมาก ทำให้จิ่งหนิงจึงรู้สึกมีความสุขไปตามไปด้วย เธอถามขึ้น:“คุณหนูหัว บอกตามตรง เวลาแบบนี้เธอคิดถึงฉันใช่ไหม?”
“อือ คิดถึงสิ คิดถึงมากด้วย แต่ก็ไม่เห็นว่าเธอจะมาหาฉันได้เมื่อไหร่”
“ไม่ต้องห่วง อีกครึ่งเดือน เมื่อลูกอุปถัมภ์ของฉันคลอดเมื่อไหร่ ฉันกับพ่ออุปถัมภ์ของเขาจะไปเยี่ยม”
“ถ้าลูกอุปถัมภ์ของเธอเป็นผู้หญิงล่ะ?”
“นั่นยิ่งดีเลย มาอยู่เป็นเพื่อนกับอานอาน ให้พี่สาวดูแลน้องสาว เพอร์เฟกสุดๆ”
หัวเหยาสั่นศีรษะ“มีเธอมารับหน้าที่แม่อุปถัมภ์ ฉันก็ว่าโชคดีมากแล้ว พูดตามตรง การตั้งท้องนี่ลำบากสุดๆ ถ้าฉันไม่ได้ท้องด้วยตัวเอง ก็คงไม่รู้ว่าความลำบากเป็นอย่างไร”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ่งหนิงค่อยๆ หายไป
“งั้นเธออยู่ที่นั่นคนเดียวได้ไหม?อยากให้ฉันไปหาเธอก่อนไหม?”
หัวเหยารีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอก ฉันจ้างคนรับใช้มาแล้ว ไม่เป็นไร”
จิ่งหนิงถอนหายใจ
จิ่งหนิงอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
หัวเหยาเหมือนรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร เธอยิ้ม“หนิงหนิง ไม่ต้องห่วงฉัน แม้ว่าฉันจะไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น แต่ฉันก็แข็งแกร่งกว่าที่พวกเธอคิดนะ ฉันอยู่ได้”
จิ่งหนิงพยักหน้า สักพักเธอก็นึกเรื่องซุบซิบที่เธอได้ยินขึ้นได้ จึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยกับเธอ
“เธอยังจำจี้หลินยวนเทพบุตรของเธอได้ไหม?”
“อือ?มีอะไร?”
“ฉันเพิ่งรู้ว่า ที่จริงแล้วเขาและกวนเยว่หวั่นจากตระกูลกวนมีความสัมพันธ์กัน และเป็นความสัมพันธ์เชิงชู้สาวเสียด้วย ถ้าพวกเรารู้เรื่องนี้เร็วกว่านี้นะ ฉันคงไม่ปล่อยให้เธอเทิดทูนเขาว่าเป็นเทพบุตรหรอก”
อีกด้านหนึ่ง แผ่นหลังของหัวเหยาตั้งตรง
นิ้วที่ถือโทรศัพท์สั่นเทาเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็หัวเราะขึ้นอย่างฝืดเคือง
“จริงเหรอ?ฉันไม่เคยได้ยินเลย”
“จริง ถ้าไม่ใช่เพราะฟู่หย่วนหางโทรมาลากฉันและลู่จิ่งเซินไปดื่มที่บาร์ในครั้งนี้ และบังเอิญไปรู้เข้าว่าเขาชอบกวนเยว่หวั่น ฉันก็คงไม่รู้เรื่องนี้”
หัวเหยาไม่ได้พูดอะไร
จิ่งหนิงกลอกตาไปมา เธอลองถามออกไป:“เหยาเหยา เด็กคนนี้ … ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับจี้หลินยวนใช่ไหม?”
“เธอคิดไปถึงไหนเนี่ย?ไม่แน่นอน”
“งั้นก็ดีแล้ว”
จิ่งหนิงทอดถอนใจอย่างโล่งอก และลูบหน้าอกของเธอเบาๆ
หัวเหยาดูเหมือนจะไม่ต้องการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เธอเปลี่ยนเรื่อง: “ช่วงนี้ เธอได้กลับเมืองจิ้นไหม?”
“ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไร แค่อยากถามว่า พ่อกับพี่ชายของฉันเป็นอย่างไรบ้าง”
จิ่งหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวขึ้นว่า“พี่ชายและพี่สะใภ้ของเธอสบายดี ห่วงก็แต่พ่อของเธอ ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาว่าเขาสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก เหยาเหยา พ่อกับลูกสาวโกรธกันได้ไม่นานหรอก ถ้าเธอเป็นห่วงเขา ก็ลองติดต่อไปหาเขาดูดีไหม?
ตอนนี้ลูกในท้องก็โตขนาดนี้แล้ว อีกไม่ถึงเดือนเขาก็จะออกมาลืมตาดูโลกแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องที่มันเกิดขึ้นไปแล้วได้ อย่างมากก็คงโกรธไปสักพักหนึ่ง แต่อย่างไรแล้วเขาก็จะยกโทษให้เธอ เธอไม่จำเป็นต้องหนีไปไกลขนาดนี้ก็ได้ ครอบครัวเดียวกันก็ต้องกลับมาอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ? ”
หัวเหยาเงียบไปชั่วขณะ เธอพูดเสียงเบา:“ฉันรู้ ฉันจะเก็บไปคิดแล้วกันนะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า ทั้งสองคุยกันอีกสองสามประโยค ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูขึ้นทางฝั่งของหัวเหยา
“มีคนมาเหรอ?” จิ่งหนิงถาม
ฮั่วเหยานิ่วหน้า
สถานที่ที่เธออาศัยอยู่ คืออพาร์ทเม้นท์ระดับไฮเอนด์ ปกติเธอไม่ค่อยได้ออกไปไหน จึงไม่ค่อยมีแขกมาหาบ่อยนัก
อีกอย่างเธอก็ไม่มีเพื่อนอยู่ที่นี่เลยสักคน คิดไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะมาหาเธอในช่วงเวลาดึกแบบนี้
คิดไปได้สักพัก เธอก็พูดกับโทรศัพท์มือถือของเธอ:“น่าจะเป็นเจ้าของบ้านหรือไม่ก็เป็นสาวใช้ชาวฟิลิปปินส์ที่ฉันจ้างมา เธอเพิ่งออกไปซื้อกับข้าวยังไม่กลับมาเลย คงลืมเอากุญแจไปด้วย ฉันจะออกไปดู”
“ได้ งั้นฉันวางสายแล้วนะ เธอก็ระวังตัวด้วย”
“โอเค”
หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว หัวเหยาก็เดินไปที่ประตู
เมื่อเดินไปถึงประตู เธอส่องตาแมวของประตูออกไป สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้เธอถึงกับผงะ
เธอยืดตัวขึ้นทันที ใบหน้าซีดเผือด
หลังจากนั้น เธอก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
หัวเหยาสาวเท้าไปยังห้องนอน และรีบล็อคประตู
เธอเดินไปมาอย่างกระสับกระส่าย หัวใจของเธอเต้นระรัวราวกับมีคนนำกลองมาวางไว้ และกระหน่ำตีมันอย่างบ้าคลั่ง สั่นสะเทือนจนหัวใจของเธอแทบหลุดออกมาจากอก
เป็นเขาได้อย่างไร?
ทำไมเขาถึงมาที่นี่?
ไม่ เป็นไปไม่ได้!
ฉันต้องตาฝาดไปแล้วแน่ ๆ ใช่ ฉันตาฝาดไป
หัวเหยากลืนน้ำลาย เมื่อนึกขึ้นได้ดังนั้น เธอก็หัวเราะเยาะตัวเอง
ตัวเธอเองตื่นเต้นกับอะไรอยู่?
ถ้าเขามาแล้วจะทำไม?
คำพูดที่เปล่งออกมาเหล่านั้น ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก และเขา …
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในใจ ดวงตาเธอเบิกกว้าง
เธอนั่งลงบนเตียงอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้น ก็มีเสียงแตกหักมาจากด้านนอก ตามมาด้วยเสียงดัง“ปัง”
มันเป็นเสียงของประตูที่ถูกพังลง
หัวเหยาตกใจอย่างสุดขีด เธอผุดลุกขึ้นจากเตียง ชะงักอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงรีบวิ่งออกไปด้านนอก
ทันทีที่ฉันเข้าไปในห้องนั่งเล่น เห็นว่าประตูของห้องเธอถูกคนพังลงไปกองกับพื้น
ปรากฏชายร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงประตูบานนั้น ใบหน้าของเขาดูเย็นชาและเคร่งขรึม
หัวเหยา:“… ”
เธอจ้องเขม็งไปที่เขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ“จี้หลินยวน! ใครอนุญาตให้คุณมางัดประตูบ้านของฉัน?”
นี่เป็นบ้านเช่าของเธอนะ!
ถ้ามีใครเห็นเข้า เธอจะอธิบายกับเจ้าของห้องว่าอย่างไร?
เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาก็คือ…ถ้าคนอื่นเห็นเข้าจะแย่แค่ไหน?
เมื่อมองไปยังบานประตูที่ถูกงัดมากองบนพื้นจนหมด หัวเหยาก็รู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก
จี้หลินยวนดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นความโกรธบนใบหน้าของเธอ เขาสาวเท้าเข้าไปหาเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เขาปรายตามองเธอและหน้าท้องใหญ่ของเธอด้วยสีหน้าอ่านยาก
“ก็อยู่บ้านนี่ ทำไมถึงไม่เปิดประตู?”