บทที่ 285 ตั้งใจหาเรื่อง
โม่หนานเบิกตากว้างด้วยสีหน้าตกใจ
“เธอดูออกหรอ?”
จิ่งหนิงตอบ”อืม”
“แต่เธอก็ยังตอบรับให้เธอมาอีกหรอ? ทั้งที่รู้ว่าเธอขุดหลุมให้กับเธอ แต่เธอกลับกระโดดลงเองหรอ?”
จิ่งหนิงยิ้มแย้ม
“ทำไมถึงเรียกว่าเป็นการขุดหลุมล่ะ? ตอนนี้เธอหมดหนทางต้องการงาน และตอนนี้ฉันก็ขาดผู้ช่วยพอดีด้วย เลยให้เธอมาทำงาน ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องดี ทั้งสองฝ่ายต่างชนะหรอกหรอ? แล้วจะเป็นการขุดหลุมอะไรกัน?”
โม่หนานนิ่งเงียบ
ไม่นานฝ่ายตรงข้ามก็เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง
“เอาล่ะ ในเมื่อเธอคิดว่าสามารถเชื่อได้อีกครั้ง งั้นพวกเราลองมาเชื่อกันอีกครั้งละกัน แต่เธอวางใจเถอะ ต่อไปฉันจะจับตาดูเธอให้ดี และจะไม่ให้โอกาสเธอก่อเรื่องอีก”
เมื่อจิ่งหนิงเห็นเธอมีท่าทางเหมือนเผชิญกับศึกใหญ่ก็อดใจหัวเราะออกมาไม่ได้
โม่หนานเป็นคนประเภทกระตือรือร้น และมีตรรกะความคิดเรียบง่าย
เธอคิดว่าคนที่เคยทรยศครั้งหนึ่งไม่มีทางสามารถเชื่อได้อีกครั้ง
แต่เธอไม่รู้ว่า ในชีวิตมีเรื่องที่จนปัญญา และสถานการณ์บีบบังคับหลายอย่าง
จิ่งหนิงพูดในใจเงียบๆ ถ้าหากตัวเองเป็นเสี่ยวขุย คนหนึ่งก็คือแม่ที่ป่วยหนัก อีกคนก็เป็นคนแปลกหน้า เธอคงเลือกทำแบบเดียวกันกับที่เสี่ยวขุยทำ
จิ่งหนิงไม่ได้ลังเลกับเรื่องนี้มาก หลังจากลงจากรถยนต์ก็เดินเข้าวิลล่าเฟิงเฉียวทันที
ตอนถึงบ้านก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
ป้าหลิวถูกลู่จิ่งเซินย้ายกลับมาจากเมืองจิ้น ตอนนี้ก็อาศัยอยู่วิลล่าเฟิงเฉียว และยังช่วยจัดการงานในบ้านแทนเธอด้วย
ส่วนอานอานเพราะร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ทั้งต้องเข้าเรียน ทั้งต้องไปหาแม่ให้ตรงเวลา จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินล้วนทำงาน เลยไม่มีเวลาไปเป็นเพื่อนเธอ ด้วยเหตุนี้เลยต้องพักอยู่ที่คฤหาสน์เดิมนั้น
เพียงแต่ทุกสุดสัปดาห์หรือรอให้จิ่งหนิง ลู่จิ่งเซินมีเวลาว่างถึงจะไปรับมาเล่นด้วยกัน
จิ่งหนิงกับโม่หนานลงจากรถพร้อมกัน แต่เพิ่งเดินเปิดประตูก็สัมผัสถึงบรรยากาศผิดปกติของข้างในได้อย่างอ่อนไหว
คฤหาสน์เปิดไฟสว่างจ้า ในห้องรับแขกมีคนรับใช้ยืนอยู่เป็นแถว โดยป้าหลิวอยู่ข้างหน้าสุด และเมื่อเห็นจิ่งหนิงกับโม่หนานเดินเข้ามาก็รีบพากันส่งสัญญาณสายตาขึ้น
จิ่งหนิงยักคิ้วเล็กน้อย
เมื่อเดินเข้าไปข้างในไม่กี่ก้าวก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของผู้หญิงดังขึ้น
“ที่นี่เป็นเมืองหลวง ไม่ใช่บ้านเมืองเหมือนเมืองจิ้น ดังนั้นพวกเธอควรรู้ตัวว่าพวกเธอกำลังทำงานให้ใครอยู่ ตระกูลลู่ของพวกเรามีกฎระเบียบของตระกูลลู่ อย่าถูกคนที่มาจากบ้านนอกเปลี่ยนความคิด หรือเอาวัฒนธรรมบ้านนอกเข้าบ้าน”
บนโซฟาที่อยู่ตรงกลาง ลู่หลันจือนั่งไขว้ขาอยู่ และเขย่าถ้วยน้ำชาในมือเบาๆ พร้อมกับสั่งสอนเหล่าคนรับใช้ด้วยท่าทางสูงส่ง
เมื่อโม่หนานได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็เข้าใจทันทีว่าคำพูดประชดประชันนั้นหมายถึงใคร เธอเปลี่ยนสีหน้าทันที
จิ่งหนิงกลับห้ามปรามเธอ แล้วยกนิ้วมือหนึ่งขึ้นมาไว้ลนริมฝีปาก แสดงให้เธอรู้ว่าอย่าก่อเรื่อง
เมื่อโม่หนานเห็นแบบนี้ ก็ทำได้เพียงอดทน แล้วถอยหลังหนึ่งก้าว
ลู่หลันจือยังไม่รู้ว่าจิ่งหนิงกลับมาแล้ว เธอยังคงจิบชาหนึ่งคำ พร้อมพูดต่อว่า : “ตระกูลลู่อยู่ที่เมืองหลวงเป็นตระกูลสูงส่งมาหลายปี ในบ้านล้วนเป็นหน้าตาของตระกูลลู่ อย่างเช่นกระจก โต๊ะ และเครื่องประดับต่างๆ ล้วนต้องใช้ของที่ดีที่สุดเท่านั้น
พวกเธอดูสิ พวกเธอตกแต่งอะไรกันหรอ? ไม่ต้องบอกกับฉันว่าเป็นความชอบของคุณนาย รสนิยมของคุณนาย
คุณนายของพวกเธอมาจากบ้านนอก เลยไม่มีความรอบรู้ แต่พวกเธอไม่เหมือน พวกเธอทำงานกับตระกูลสูงส่งที่เมืองหลวงมาหลายปีแล้ว
ก่อนมาทำงานตระกูลลู่ แน่นอนว่ามีประสบการณ์ทำงานจากบ้านอื่นมามากพอสมควร คงไม่รู้หรอกว่าสิ่งของชิ้นไหนดี สิ่งของชิ้นไหนไม่ดี
สำนวนพูดไว้ได้ดีมากว่า ถึงแม้ไม่เคยมีครอบครอง แต่ก็เคยเห็นมาก่อน วิลล่าเฟิงเฉียวแห่งนี้ออกแบบโดยนักออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ทุกระเบียบนิ้วภายในล้วนตกแต่งอย่างประณีต
พวกเธอดูสิ ตอนนี้ถูกจัดแต่งเป็นแบบไหนแล้ว ที่นี่เหมือนกับบ้านของคุณนายตระกูลสูงส่งหรอ ฉันว่าเหมือนกับคนบ้านนอกมากกว่า
ฉันไม่กล่าวโทษพวกเธอหรอก ฉันรู้ว่าพวกเธอคงทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันมาแล้ว พวกเธอช่วยเอาสิ่งของเหล่านี้กลับไปวางไว้ที่เดิมด้วย ควรวางไว้ที่ไหนก็วางไว้ตรงนั้น”
ขณะที่พูดก็สั่งให้คนรับใช้เริ่มจัดเก็บห้อง
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะออกมา
ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เลยเดินเข้ามาข้างหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “หยุด!”
ทุกคนต่างพากันสะดุ้งตกใจ เมื่อหันหน้าก็เห็นจิ่งหนิงที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่ตอนไหน
แต่ละคนต่างพากันกล่าวทักทายต่อเธอ จิ่งหนิงพยักหน้าเล็กน้อย โดยไม่ได้มองพวกเธอ แต่จ้องลู่หลันจือที่ยังคงนั่งบนโซฟาอย่างไม่ละสายตาขึ้น
เมื่อลู่หลันจือได้ยินเสียงของเธอก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็รีบดึงสติกลับมา
เธอเป็นคุณป้าของลู่จิ่งเซิน และเป็นคนดูแลลู่จิ่งเซินจนเติบใหญ่ ถึงแม้ไม่ได้เลี้ยงดู แต่ก็มีส่วนร่วมบ้าง
หากพูดไม่ค่อยน่าฟังคือ เธอเป็นแม่ครึ่งหนึ่งของลู่จิ่งเซิน
ตอนที่จิ่งหนิงยังไม่มาเมืองหลวงเมื่อก่อน เธอเป็นคนรับผิดชอบดูแลวิลล่าเฟิงเฉียวทุกอย่าง
หรือว่าตอนนี้เป็นไม่ได้แล้วหรอ?
เมื่อครุ่นคิดแบบนี้ ลู่หลันจือก็นั่งต่อไป
พร้อมเหลือบตามองเธอเล็กน้อย
จิ่งหนิงเดินเข้ามา พร้อมกล่าวขานอย่างมีมารยาทว่า “คุณป้า”
ลู่หลันจือพูดด้วยน้ำเสียงวางมาดว่า “กลับมาแล้วหรอ? เมื่อกี้ฉันคุยกับพวกเธอ เธอคงได้ยินหมดแล้วใช่ไหม?”
จิ่งหนิงพยักหน้าเล็กน้อย “ค่ะ ได้ยินหมดแล้ว”
“เธออย่ากล่าวโทษว่าฉันเรื่องมากเลย ฉันเป็นคนดูแลลู่จิ่งเซินตั้งแต่เด็กจนโต สำหรับฉันแล้ว เขาเหมือนลูกชายคนหนึ่งของฉัน
ฉันรู้ว่าเขาชอบเธอ รักเธอมาก นี่ถือเป็นวาสนาของเธอ ต่อให้ฉันอยากยุ่งก็ยุ่งไม่ได้
แต่ในเมื่อเธอกลายเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลลู่ของพวกเราแล้ว บางอย่างฉันต้องสั่งสอนเธอสักหน่อย
ตระกูลลู่ของพวกเราไม่ใช่บ้านเรือนธรรมดาเหมือนข้างนอก ตระกูลลู่มีกฎระเบียบของตระกูลลู่ รสนิยมและการกระทำที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้น ฉันหวังว่าเธอจะสามารถปรับเปลี่ยน
และควรเรียนรู้ว่าจะเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับฐานะของตัวเองได้อย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ
จิ่งหนิงพูดประชดประชันขึ้น
“ไม่ทราบว่าฉันทำเรื่องอะไรที่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะกันหรอค่ะ? ถ้าหากคุณป้ารู้ช่วยบอกหน่อยได้ไหมค่ะ?”
ลู่หลันจือขมวดคิ้ว และพูดว่า : “แม้แต่การกระทำของตัวเอง เธอก็ไม่สังเกตเห็นหรอ ยังกล้ามาถามฉันอีก? เธอดูเอาเองสิ”
ขณะที่พูดก็ชี้ไปตรงตู้โชว์กระจกหนึ่งที่อยู่ด้านข้างห้องรับแขก
“ถ้าหากจำไม่ผิด ตรงนี้เดิมทีเป็นแจกันดอกไม้โบราณล้ำค่าวางอยู่ ตอนนี้ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้แล้ว? เธอไม่รู้หรอว่าในตอนนั้นวิลล่าเฟิงเฉียวยอมจ่ายเงินจ้างนักตกแต่งมากแค่ไหน?
ทุกระเบียบนิ้วของที่นี่ล้วนตกแต่งอย่างประณีต แต่เธอกลับอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน ไม่ซักถามความเห็นจากจิ่งเซินเลยหรอ? เคยผ่านความเห็นฉันบ้างไหม?”
จิ่งหนิงยิ้มอย่างเย็นชาขึ้น
“คุณป้า ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ที่นี่เป็นฉันกับจิ่งเซิน ฉันแค่เปลี่ยนของตกแต่งไม่กี่ชิ้นเอง ทำไมต้องถามความเห็นของคุณด้วยหรอ?”
“นี่เธอ!”
ลู่หลันจือเริ่มโมโหขึ้น
“แจกันดอกไม้โบราณเหล่านั้นฉันเป็นคนมอบให้กับจิ่งเซิน อีกอย่างฉันเป็นป้าของจิ่งเซิน…..”
“ฉันรู้ค่ะ”