บทที่ 289 เสนอราคาประมูล
ขอเพียงถังลั่วเหยาแสดงความสนใจเล็กน้อย เขาก็ยกป้ายประมูลทันที
อี้ซื่อกรุ๊ปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอุปกรณ์ก่อสร้าง ในประเทศนับว่าเป็นอาชีพที่มีหน้ามีตามาก ด้วยเหตุนี้จึงมีกำลังซื้อมากเป็นพิเศษ
ในฐานะเป็นลูกชายคนเดียวของท่านกรรมการบริหารอี้ แน่นอนว่าอี้เทียนหัวไม่ขาดแคลนเรื่องเงิน
ปกติเรื่องการจีบสาว เขาเป็นคนใจกว้างเรื่องเงินมาก ขอเพียงสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีความสุขก็ยอมทุ่มไม่อั้น
แต่วันนี้กลับต้องมาเจอเฟิงยี่
ทุกสินค้าที่เขาถูกใจ เฟิงยี่ก็เริ่มตั้งใจเพิ่มราคาสูงขึ้นเอาชนะเขา
ตอนแรกเขายังพอทนได้ แต่ตอนหลังกลับพบว่าราคายิ่งสูงจนน่าตกตะลึง
เหมือนกับว่าเขาเพิ่มจำนวนตัวเลข ไม่ใช่เงินอย่างนั้น
ถึงแม้อี้เทียนหัวเป็นคนมีเงิน แต่ก็ไม่ใช้เงินแบบนี้
ทั้งที่กำไลราคาควรเป็นห้าแสน แต่ถูกเฟิงยี่ประมูลเป็นราคาสามล้าน
ถ้าหากไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคือเฟิงยี่ คุณชายที่มีชื่อเสียงของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง เขาคงสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามตั้งใจหาเรื่องเขาแน่
ถังลั่วเหยาเองก็มองสิ่งผิดปกติออก เธอหันหน้ามองเฟิงยี่ที่เผยสีหน้าสูงส่งนั่งอยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าพูดกับอี้เทียนหัว
“คุณชายอี้ ช่างเถอะคะ ในเมื่อคุณชายเฟิงชอบมากขนาดนั้นก็ให้เขาเถอะ! พวกเรารอดูของข้างหลังก็ได้”
แต่เธอแค่ไม่เข้าใจ ผู้ชายโอ้อวดในเวลาแบบนี้ ส่วนใหญ่เมื่อตอนเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ตัวเองมีใจให้ด้วย
ซึ่งอี้เทียนหัวก็เริ่มรู้สึกเลือนรางแล้วว่า ที่เฟิงยี่พยายามหักหน้าเขาเพื่อถังลั่วเหยาที่นั่งเคียงข้างเขา
ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายไม่ได้นั่งด้วยกัน แต่ที่นั่งของอี้เทียนหัวกับถังลั่วเหยาอยู่ตรงหน้าไม่กี่แถวเอง ดังนั้นเมื่อมีสายตาเหลือบมองมา พวกเขาไม่มีทางมองไม่เห็น
อี้เทียนหัวถูกเขากระตุ้นอารมณ์จนโมโหแล้ว และไม่ยอมฟังคำพูดเกลี้ยกล่อมของถังลั่วเหยาด้วย ดังนั้นเลยรีบเพิ่มราคาประมูลทันที
เพราะหากยอมแพ้ในเวลานี้ก็เท่ากับยอมรับตัวเองว่าแพ้ต่อฝ่ายตรงข้าม
ไม่ว่าผู้ชายคนไหน หากเผชิญหน้ากับการแข่งขันล้วนไม่มีใครยอมแพ้อย่างง่ายดายหรอก
เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว ในเวลานี้ไม่ได้ซื้อกำไล แต่เป็นศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย
คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เขายกป้ายประมูลเพิ่มราคาอีกครั้ง เฟิงยี่กลับยอมแพ้
อี้เทียนหัวรู้สึกมึนงงทันที
ไหนว่าจะแข่งขันกันยังไง?
คุณชายเฟิงแห่งตระกูลใหญ่อย่างนาย ยอมแพ้เพียงราคาสามล้านห้าแสนเองหรอ แบบนี้ไม่สมกับฐานะเลย!
เขาหันหน้ามองกลับไปด้วยสีหน้าตกใจ และเห็นเฟิงยี่ยิ้มอย่างเย็นชาต่อเขา แล้วอ้าปากพูดอย่างดกินจริงว่า
ไอ้โง่!
อี้เทียนหัว:“……”
เมื่อถังลั่วเหยาเห็นรูปปากของเขาก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
ต่อให้เป็นไอ้โง่ แต่ก็สามารถมองออกว่า เฟิงยี่ตั้งใจยั่วโมโหเขา!
เธอกระซิบพูดกับอี้เทียนหัวว่า : “คุณชายอี้ กำไลนี้แพงเกินไปแล้วค่ะ เขาตั้งใจเพิ่มราคาประมูลเล่นงานเรา งั้นพวกเราไม่ต้องเอาละกันนะคะ!”
อี้เทียนหัวฝืนยิ้มออกมา
“ไม่เป็นไรครับ คุณชอบไม่ใช่หรอ? เงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยครับ แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องสนใจหรอก”
ถึงแม้ภายในใจรู้สึกขาดทุนมาก แต่ไม่สามารถพูดออกมา
เพราะหากเปรียบเทียบกับเสียหน้าแล้ว ล้านกว่าบาทไม่อยู่ในสายตาเขาหรอก
ถังลั่วเหย่ากัดริมฝีปากเล็กน้อย
เธอขมวดคิ้ว และเผยสีหน้าลังเล แล้วพูดขึ้นว่า : “ฉันกับคุณชายเฟิงเคยรู้จักกันมาก่อน สงสัยเขาคงเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนแน่เลย ถึงตั้งใจยั่วโมโหคุณ งั้นฉันไปอธิบายกับเขาสักหน่อยละกัน?”
อันที่จริงเธอไม่อยากทำให้อี้เทียนหัวกับเฟิงยี่มีปัญหาเพราะเธอเป็นต้นเหตุ
อี้เทียนหัวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
และบนใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่มีโอกาสมากที่จะสามารถทำให้คนเข้าใจผิดความสัมพันธ์ของพวกเราสองคน ผมดีใจจนตั้งตัวไม่ทันแล้ว แล้วจะไปอธิบายกับเขาทำไม?”
ถังลั่วเหยานิ่งอึ้งชั่วขณะ
อี้เทียนหัวรีบยิ้มและพูดว่า : “ล้อเล่นครับ อย่าสนใจเลย”
ถังลั่วเหยาฝืนยิ้มออกมา ขณะเดียวกันภายในใจรู้สึกรำคาญใจกับการกระทำแบบนี้ของเฟิงยี่
เมื่ออี้เทียนหัวเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็ตบบนหลังมือของเธอเบาๆ
“อย่าเก็บมาใส่ใจเลยครับ ออกมาเพื่อสนุกสนาน หากครั้งหน้าเขาตั้งใจยั่วยุผมเสนอราคาประมูล ผมแค่ไม่ต้องหลงกลก็โอเคแล้ว”
ถังลั่วเหยาถอนหายใจอย่างโล่งอก และพยักหน้าเล็กน้อย
ทางด้านนี้ จิ่งหนิงล้วนมองสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ เธอยิ้มและพูดว่า : “โธ่ คุณชายเฟิงหึงจนหน้ามืดตามัวแล้วหรอ? ทำไมต้องหึงอะไรขนาดนี้ด้วย?”
เฟิงยี่เปลี่ยนสีหน้า และรีบพูดแก้ต่างว่า : “พูดจาเหลวไหล ผมไม่ได้หึงสักหน่อย เธอเป็นใครกัน? ผมแทบไม่เคยรู้จักเธอเลย แล้วผมจะหึงเธอได้ยังไง?”
“อ่อหรอ แล้วครั้งก่อนใครกันที่วิ่งเข้าไปช่วยเธออย่างหน้าตาเฉย แถมช่วยเธอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วย? อีกอย่างเมื่อเห็นเธอมากับผู้ชายคนอื่นก็ยั่วยุเขาให้เสนอราคาประมูลสูงขึ้น ถ้าหากนี่ไม่เรียกว่าหึง เช่นนั้นกินเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูที่อบอวลกลางอากาศมาจากไหนหรอ?”
เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ เฟิงยี่ก็เผยท่าทางไม่เป็นตัวเองขึ้น
เขากัดริมฝีปากอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “พี่สะใภ้ คุณคิดมากแล้ว ผมแค่พยายามทำให้งานประมูลของพวกผมมีรายได้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเอง แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องหึงด้วยล่ะ?
อีกอย่างครั้งก่อน ผมเห็นแก่ที่เธอเป็นนักแสดงใต้สังกัดของคุณ เลยยอมช่วยเหลือเท่านั้นเอง คุณไม่เห็นถึงคุณงามความดีของผมก็ช่างเถอะ แต่กลับพูดหาเรื่องผมที่นี่อีก มีพี่สะใภ้แบบนี้ที่ไหนกัน?
เมื่อจิ่งหนิงเห็นท่าทางพยายามกลั้นโมโหของเขาก็อดใจหัวเราะไม่ได้
“อืม ในเมื่อนายพูดแบบนี้ งั้นฉันยอมเชื่อละกัน เดียวรอให้งานประมูลจบลง เดียวฉันจะไปซักถามความสัมพันธ์ของเธอกับคุณชายอี้ แล้วเดียวฉันจะมาบอกนาย”
เฟิงยี่ : “…….”
ทางด้านข้าง เมื่อจี้หยุนซูได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะออกมาด้วย
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเฟิงยี่แล้ว เขามีความสุขุมมากกว่า
“ถ้าหากผมจำไม่ผิด ตอนเด็กที่โรงเรียนของพวกเรามีรองคณบดีแซ่ถังหรือเปล่า? เขามีลูกสาวคนหนึ่ง ในตอนนั้นอาเฟิงสนิทสนมกับเธอมาก”
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินแบบนี้ก็ถึงเวลาซุบซิบนินทาขึ้น เธอรีบยื่นหูตั้งใจฟังทันที
เฟิงยี่เปลี่ยนสีหน้าทันที พร้อมหันหน้าจ้องมองจี้หยุนซูเผยสายตาขุ่นเคือง ข่มขู่เขา “ไม่อนุญาตให้พูด!”
ยิ้มและพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เป็นความลับสักหน่อย พี่สองเองก็รู้ ต่อให้ไม่พูดตอนนี้ กลับไปพี่สองก็พูดอยู่ดี”
เขาหยุดนิ่ง และพูดต่อว่า : “อีกอย่างนายก็ไม่ได้ชอบเธอสักหน่อย ทำไมต้องเผยท่าทางตื่นตระหนกแบบนี้ด้วยล่ะ?”
ทันใดนั้นลู่จิ่งเซินก็พูดขึ้นว่า : “อืม ผมจำได้ว่ามีรองคณบดีคนนั้น ดูเหมือนลูกสาวของเขามีชื่อว่าถังลั่วเหยาใช่ไหม? แต่ตอนนั้นพวกเราย้ายโรงเรียน ดังนั้นเลยจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่หากจำไม่ผิด ตระกูลเฟิงย้ายออกเป็นคนสักท้าย อีกอย่างรองคณบดีเฟิงเป็นลูกน้องของคุณท่านเฟิงในตอนนั้นด้วย ดังนั้นเฟิงยี่มีความสัมพันธ์อันดีกับเธอก็เป็นเรื่องปกติ”
เหตุผลที่ตระกูลลู่ กู้ กวน เฟิงถูกขนานนามว่าเป็นสี่ตระกูลใหญ่ ไม่เพียงเพราะมีอำนาจและทรัพย์สินมหาศาล และยังมีความเกื้อกูลกันและกัน
แต่บรรพบุรุษของพวกเขายังเคยสร้างคุณงามความดีด้วย ด้วยเหตุนี้มีคนรุ่นหลังที่มีความสามารถทำงานด้านทหาร
จนมาถึงยุคสมัยที่สองจึงเริ่มทำธุรกิจ