บทที่302 ส่งเธอกลับบ้าน
คำพูดของเขาทำให้กวนเยว่หวั่นได้สติกลับมาจึงรู้สึกประหลาดใจที่เอาแต่จ้องหน้าเขาจนอดที่จะหน้าแดงไม่ได้
ก้มหน้าและพึมพำกับตัวเองแต่เมื่อคิดถึงท่าทางที่มีชีวิตชีวาของเขาในตอนนี้และรู้สึกตลกอีกครั้ง
จากนั้นไม่นานก็พูด: “ไม่เปื้อนค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่า…”
จี้หยุนซูเลิกคิ้ว “รู้สึกว่ายังไง?”
กวนเยว่หวั่นเม้มริมฝีปากและยิ้ม “ไม่มีอะไรค่ะ เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนเห็นคุณในแบบเคร่งขรึม เวลาอยู่ในวิทยาลัยก็ถูกชื่นชมเป็นเหมือนกับตำราเลยไม่เคยรู้ว่าคุณก็มีมุมซุกซนแบบนี้ด้วย”
หลังจากพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่สดใส
หัวใจของจี้หยุนซูเคลื่อนไหวตามการมองในดวงตาของเธอและความรู้สึกแปลก ๆ ก็เพิ่มขึ้น แต่ความรู้สึกนี้ถูกพรากไปอย่างรวดเร็วด้วยสติของเขาและเขาก็ยิ้มเหยเก
“ซุกซน? เป็นครั้งแรกที่มีคนใช้คำนี้ในการอธิบายถึงผมเลยครับ!”
เขาคิดแล้วอดหัวเราะไม่ได้และอธิบาย: “พ่อบ้านฉิน เห็นพวกเรามาตั้งแต่เล็กจนโตครับก็เลยสนิทกัน ดังนั้นจึงล้อเล่นกันได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลเลยทำให้คุณเห็นแล้วตลกขึ้นมา”
ในระหว่างที่พูดนั้นท่าทางของเขาก็กลับมาอ่อนโยนและสุภาพ
ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ถึงแม้จะยังสุภาพและถ่อมตนแต่กลับให้ความรู้สึกห่างเหิน
กวนเยว่หวั่นนิ่งไปและรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในใจ
แท้จริงแล้ววันนี้เธอก็รอโอกาสนี้มาตลอดตั้งแต่จี้หยุนซูเข้ามา
รอโอกาสที่จะได้คุยกับเขาเพียงลำพัง
เธอคิดว่าของเพียงพวกเขาได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาเป็นผู้ชายคงจะเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นก่อน
สุดท้ายแล้วเมื่อเกิดเรื่องแบบนั้นไม่ว่าจะเป็นใครที่เป็นฝ่ายเริ่มก็คงไม่สามารถจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้
อย่างน้อยมันหมายความว่าอย่างไร ทั้งสองคนก็น่าจะมีการคุยกันเป็นการส่วนตัว
หากว่าเขาพูดจริง ๆ ว่าเมื่อคืนนั้นเขาดื่มจนเมา แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เธอก็สามารถยอมรับได้
และดูจากตอนนี้แล้ว ชายหนุ่มไม่มีท่าทีจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนเลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของเธอก็อดเศร้าใจไม่ได้
บางที คืนนั้นเธอไม่ควรที่จะ…
จี้หยุนซูไม่ทันสังเกตสีหน้าเธอที่เปลี่ยนไปและพูดขึ้น: “เมื่อครู่ผมเข้ามายังไม่ได้ทักทายพวกคุณเลย เสียมารยาทไปรึเปล่านะ?”
กวนเยว่หวั่นสูดหายใจลึก ๆ แล้วระงับความเศร้าโศกในใจและฝืนยิ้ม “ยังดี แบบนั้นคุณดูดีมากเลย”
เธอไม่ได้เพ้อเจ้อ เมื่อเทียบกับเขาที่สุภาพและรักษาระยะห่างในตอนนี้แล้ว เธอชอบเขาที่ดูซุกซนแบบเมื่อครู่มากกว่า
แต่เมื่อคิด ๆ ดูให้ดีแล้ว ในเมื่อเขาไม่สามารถจะแสดงท่าทางแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นได้ตามอำเภอใจ ดังนั้นจึงรู้สึกโล่งใจ
จี้หยุนซูไม่ทันสังเกตถึงอารมณ์ของเธอที่เปลี่ยนไปจึงได้แต่พยักหน้าและรับคำง่าย ๆ
ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นก็หมดหัวข้อสนทนาและบรรยากาศก็พลันเงียบงันจนน่ากระอักกระอ่วนใจขึ้นเล็กน้อย
กวนเยว่หวั่นก้มหน้าลงเล็กน้อยและไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แสงไฟที่ส่องลงมาจากด้านบนและแสงสว่างอ่อน ๆ บนใบหน้าขาวเล็ก ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ความสวยงามระดับชาติ แต่มันเป็นความไร้เดียงสาและความสวยงามที่ทำให้หัวใจเต้น
จี้หยุนซูเหลือบมองเธอ แต่เพียงแวบเดียวเขาก็หลบสายตาอย่างรวดเร็ว
ล้อเล่นรึไง เขาแก่กว่ายายเด็กนี่ตั้งแปดปีเต็ม ๆ เป็นคุณอาได้สบาย ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางที่จะรู้สึกอะไรกับเธอได้
แต่เสียงหัวใจเต้น “ตึกตัก” ไม่เป็นจังหวะโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นมันคืออะไรกัน?
เขาแอบสูดหายใจลึกและคิดว่าถ้าทั้งสองคนจะยังยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่จึงได้เสนอแนะขึ้น: “ตรงนี้มันหนาวแปลก ๆ เนอะ พวกเราไปข้างหน้ากันไหม? ตรงนั้นอุ่นกว่าหน่อย”
เขาก็แค่ออกปากเชิญตามมารยาท แต่มันกลับเปลี่ยนไปเมื่อคำพูดเหล่านั้นอยู่ในโสตประสาทของกวนเยว่หวั่น เธอเงยหน้าเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็ว เม้มริมฝีปากและพยักหน้า “ดีค่ะ”
ระหว่างที่พูดหน้าของเธอก็แดงก่ำอย่างรวดเร็ว
หน้าแดงก่ำขนาดนี้ทำให้จี้หยุนซูจับอาการของเธอได้และเขาก็อดไม่ได้ที่จะใจสั่น
เด็กคนนี้…กำลังเขินอายงั้นเหรอ?
เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ แล้วเธอจะเขินอายอะไร?
แน่นอนว่าเธอคือเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่โต
จี้หยุนซูอดไม่ได้ที่ยิ้มออกมา จิตใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อครู่ก็หายไปอย่างเงียบ ๆ เพราะเหตุนี้
ท้ายที่สุดเขายังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับเด็กผู้หญิงที่คุยกับผู้ชายแล้วยังหน้าแดง เขาไม่อาจจะเป็นสัตว์ร้ายจนถึงจุดที่ทำร้ายเธอได้
หลังจากกลับมาที่ห้องรับแขก พบเพียงเฟิงยี่และหัวเหยาที่ไม่ได้เล่นเกมแล้ว เฟิงยี่นั่งอยู่บนโซฟาคนเดียวและถือโทรศัพท์มือถือแหย่โน่โน่ เล่น ทั้งสองหัวเราะร่วนไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน
มองดูรอบด้านไม่มีพวกของจิ่งหนิงและหัวเหยา
จี้หยุนซูเดินเข้าไปและถาม: “พวกเธอล่ะ?”
เฟิงยี่เงยหน้ามองเขา ยิ้มและพูด: “พวกนายกลับมาแล้วเหรอ? ดูเหมือนพวกเขาจะออกไปแล้ว ไม่แน่ใจ พี่รองกับพีสะใภ้อยู่ข้างบนน่ะ”
จี้หยุนซูพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวนายช่วยบอกพวกเขาทีนะ ฉันมีธุระต้องขอตัวก่อน”
พูดจบแล้วก็หันไปพยักหน้าให้กวนเยว่หวั่นเพื่อเป็นการบอกกล่าวเธอ
เฟิงยี่โบกมือไปมา “ได้ นายไปเถอะ อีกเดี๋ยวฉันบอกพวกเขาให้”
จี้หยุนซูเห็นเช่นนั้นจึงไม่พูดอะไรและหันหลังเพื่อเดินออกไปด้านนอก
กวนเยว่หวั่นนิ่งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นได้และรีบร้องเรียกเขาไว้ “รุ่นพี่ รอเดี๋ยว ฉันไปด้วยค่ะ”
พูดแล้วก็รีบตามออกไป
อีกด้านหนึ่ง หัวเหยาดูเวลาแล้วก็พบว่ามันดึกแล้วจึงได้ลุกขึ้นและเตรียมตัวกลับ
อย่างไรก็ตามทันทีที่เธอเดินไปที่ประตูกลับโดนจี้หลินยวนที่เดินเข้ามาขวางทางไว้
ในเวลานี้เฟิงยี่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟาและระเบียงที่ทางเข้าประตูอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ดังนั้นเฟิงยี่จึงไม่ได้สังเกตเห็นคนทั้งสองที่ประตู
หัวเหยาเหลือบหันไปมองแวบหนึ่งเพื่อดูว่าเฟิงยี่ไม่เห็นตรงนี้จึงได้หันไปและเลิกคิ้ว “คุณทำอะไรน่ะ?”
จี้หลินยวนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม: “ฉันไปส่ง”
หัวเหยานิ่งไปชั่วขณะ และมีรอยยิ้มอย่างเหลือเชื่อที่มุมปาก “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันขับรถเองไม่ต้องรบกวนคุณหรอก”
พูดจบก็เดินเลยเขาไปเพื่อเดินออกไปข้างนอก
จี้หลินยวนขมวดคิ้วและจับแขนของเธอไว้ด้วยแรงของเขาที่มีมากเขาบีบแขนหัวเหยาจนเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย
เธอขมวดคิ้วมองกลับไปที่เขาอย่างไม่พอใจและพูดอย่างเคร่งขรึม “ปล่อย”
จี้หลินยวนมีสีหน้าไร้ความรู้สึกและยังคงไม่ปล่อยมือเพียงพูดขึ้นอย่างความดื้อรั้น: “ฉันไปส่ง”
หัวเหยาหันกลับไปมองเฟิงยี่ที่ยังนั่งอยู่บนโซฟาและลังเลเล็กน้อย
อันที่จริงแล้วเธอไม่อยากจะยื้อยุด นัวเนีย กับเขาต่อหน้าคนอื่น เพื่อไม่ให้ทุกคนจับได้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่งั้นจะเป็นปัญหามากกว่าเดิม
ดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้าพอเป็นพิธีแล้วเดินออกไปด้านนอก
จนเดินออกมาข้างนอกแต่เธอก็ไม่ได้หยุดก้าว เดิมเธอคิดว่ารีบเดินไปขึ้นรถและขับออกไปก็จบแล้ว ผู้ชายถึงอยากตามก็คงไม่ทัน
คิดไม่ถึงว่าจี้หลินยวนจะนำหน้าเธอไปก้าวหนึ่งด้วยการให้บริกรขับรถมารอแล้ว เมื่อเดินมาที่หน้าประตูรถก็จอดรอแล้ว
จี้หลินยวนลงจากรถและเปิดประตูแล้วพูดอย่างเยือกเย็น: “ขึ้นรถ”