บทที่309 ใกล้จะได้อุ้มหลาน
สีหน้าของกวนเยว่หวั่นเปลี่ยนไปทันที
เธอพูดเสียงเข้ม: “คุณป้ากู้ คิดว่าคุณป้าเข้าใจผิดแล้วค่ะ หนูกับกู้จื่อจุน เป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่น”
“ป้ารู้ นี่มันคือเมื่อก่อนนี้ ต่อไปทำความรู้สึกกันมากขึ้นก็มีอะไร ๆ เองแหละจ้ะ”
ในขณะที่เขากล่าวเขาเหลือบมองไปที่เห้อหลันซิน อย่างมีนัย
“พูดไปแล้วแม่เธอเองก็รับปากแล้ว พวกเราอาจหลอกเธอได้ แต่แม่เธอไม่มีวันหลอกเธอแน่ ใช่ไหม!”
กวนเยว่หวั่นไม่อยากจะเชื่อและหันไปมองแม่ของเธอ
ความรู้สึกผิดฉายในดวงตาของเห้อหลันซิน แต่เขายังคงยิ้มแห้ง ๆ
“หวั่นหวั่น เรื่องนี้เอาไว้แม่จะคุยรายละเอียดกับลูกอีกที อย่างไรเสียพวกเราก็ตอบตกลง”
“พวกแม่ตกลงกันแล้ว? นี่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตที่เหลือของหนู พวกแม่ไม่คิดจะถามสักคำ มีสิทธิอะไรตอบตกลงแทนหนูคะ?”
กวนเยว่หวั่นโมโหในทันที
เธอเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนโยน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่มีอารมณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแบบนี้
เห้อหลันซิน กระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
เธออ้าปากเพื่อจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับพูดไม่ออก
หลี่เหมียว มองเธอด้วยความไม่พอใจทันทีเมื่อเห็นเธอทำหน้าแบบนั้น
“ฉันคิดว่าทำไมลูกของเธอถึงพูดจากับเธอแบบนี้ล่ะ? พวกเราตระกูลกู้ ไม่ได้มีอะไรด้อยเลยนะ จื่อจุน ก็ถือเป็นคนที่พิเศษกว่าใคร มีตรงไหนที่ไม่คู่ควรกับเธอ? ทำไมเธอถึงมีความคิดแบบนี้ล่ะ?”
กวนเยว่หวั่นยิ้มเยาะ
“ได้ หนูรู้ค่ะว่ากู้จื่อจุน นั้นดีเลิศ ไม่ใช่เขาไม่คู่ควรกับหนู เป็นหนูเองที่ไม่คู่ควรกับเขา แบบนี้ได้ไหมคะ?”
เธอหันไปมองเห้อหลันซิน ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและพูดอย่างเย็นชา: “แม่คะ แม่ไม่จำเป็นต้องเป็นธุระจัดการให้หนูหรอกค่ะ หนูจะบอกพวกคุณตรง ๆ ก็ได้ว่าหนูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นถ้าไม่ใช่เขาหนูก็ไม่แต่งค่ะ!
ยังมี อย่าคิดว่าหนูไม่รู้ว่าในใจพวกคุณคิดจะทำอะไร การดองกันของตระกูลกวนและกู้ เมื่อไม่สามารถจับทางฝั่งกวนเสว่เฟยให้อยู่หมัดได้ ก็เบนเข็มมาทางหนู ไม่คิดบ้างว่าพวกเราถูกทิ้งออกมาเป็นญาติห่าง ๆ ไกลถึงขนาดนี้แล้วยังจะคิดว่าจะมีเรื่องดี ๆ ถึงพวกคุณเหรอ? หนูว่าคุณคิดให้ดี ๆ ก่อนเถอะค่ะ!”
พูดจบ เธอก็หันหลังและเดินกลับห้องนอนโดยไม่หันกลับมามองอีก
ในห้องนั่งเล่น เห้อหลันซิน และ หลี่เหมียว ต่างตกตะลึงกับเธอและใช้เวลานานในการตอบสนอง
ใบหน้าของ เห้อหลันซิน ดูเศร้าเล็กน้อย แต่ หลี่เหมียว ก็ระเบิดอารมณ์ในทันที
“เด็กบ้า! เธอพูดเพ้อเจ้อะไรน่ะ? พวกเราจะคิดแผนอะไรได้? จื่อจุน ของเราถูกใจเธอถือเป็นโชคดีของเธอต่างหาก เธอจะเอาก็เอาไม่เอาก็ช่าง ทำอย่างกับเราต้องขอร้องเธออย่างนั้นแหละ!”
เมื่อ หลี่เหมียว พูดเช่นนี้ เห้อหลันซิน ก็ไม่เต็มใจ
เธอจ้องมองฝั่งตรงข้ามแล้วพูดอย่างเย็นชา: “เอาเถอะ พวกเรารู้ว่าพวกคุณตระกูลกู้ นั้นฐานะดีกว่าเรา แต่เราก็ไม่ได้ขอให้คุณมา จะพูดไป นี่เป็นลูกสาวของฉัน เธอยอมหรือไม่ยอมก็แล้วแต่เธอ คุณจะมาพูดอะไรที่นี่?”
“เธอ!”
หลี่เหมียว ไม่คาดคิดว่าเห้อหลันซิน จะหันหลังให้ เธอชี้ไปที่เธอและโกรธมากจนไม่พูดอะไรสักคำ
สุดท้าย เธอสะบัดมือแรงและพูดด้วยความโกรธ “ได้! ถือว่าฉันดูครอบครัวเธอผิดไป ไม่แต่งก็ไม่ต้องแต่ง ฉันไม่หมดสิ้นหนทางหรอก!”
พูดจบก็หันหลังแล้วเดินจากไป
ที่ชั้นบนกวนเยว่หวั่นได้เสียงปิดประตูดัง “ปัง” ดังขึ้นมาถึงข้างบนจึงหลับตาลงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก
อีกด้านที่โรงแรม
จี้หยุนซูตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงงพร้อมกับอาการปวดหัว เหมือนเมาค้างตลอดคืน
ความแข็งแกร่งในร่างกายก็ดูเหมือนจะว่างเปล่าทั้งปวกเปียกและอ่อนแอ
เขาลืมตาและหันหน้ามองไปรอบ ๆ ศีรษะของเขารู้สึกมึนไปหมดและเขาก็สับสนว่าเขาอยู่ที่ไหน
เมื่อสายตาของเขาสัมผัสโลโก้โรงแรมบนผนังดวงตาของเขาก็หยุดลงและเขาก็ตื่นขึ้นมาและลุกขึ้นจากเตียง
เมื่อมองไปรอบ ๆ เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องนอน แล้วยังจะมีใครอีก?
สีหน้าเขาเปลี่ยนไป ความทรงจำที่คลุมเครือหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขาเมื่อคืนเขาจำได้อย่างชัดเจนถึงการดิ้นรนและความเจ็บปวดของหญิงสาว ตลอดเสียงร้องไห้และกรีดร้องของเธอ
หัวใจของฉันบีบแน่นกัดฟันเบา ๆ และสาปแช่ง “shit!”
จากนั้นจึงพลิกตัวและลงจากเตียง
ผ่านไปสิบนาที หลังจากอาบน้ำเสร็จ จี้หยุนซูก็เดินออกมาจากห้องน้ำ
ในขณะที่กำลังจะใส่เสื้อผ้า เขาบังเอิญเห็นวัตถุที่เป็นโลหะอยู่บนเตียง
เขาหยุดเล็กน้อยเดินไปหยิบของชิ้นนั้นขึ้นมาและเห็นว่ามันเป็นสร้อยข้อมือลายใบไม้ที่ไม่เหมือนใคร หัวใจของเขาก็ตื่นเต้นขึ้นอีกครั้ง
สร้อยข้อมือนี้เป็นของใคร เขาจำได้ดี เมื่อคืนนี้หญิงสาวที่มีดวงตาตื่นตระหนกสวมสร้อยข้อมือนี้อยู่ไม่ใช่หรือ?
เมื่อคิดถึงเธอ เขาก็ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความวุ่นวายใจ
เขาใส่สร้อยข้อมือในกระเป๋า แล้วดึงประตูและเดินออกไป
เมื่อไปถึงสถาบันวิจัย เขาทำการผ่าตัดเสร็จแล้วจึงได้ยินว่าวันนี้กวนเยว่หวั่นไม่มาทำงาน
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกคาดไม่ถึงและก็ไม่ได้ใส่ใจ
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยง เพราะเมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนและปวดหัวเลยพักร้อนตอนบ่ายเตรียมกลับบ้านไปพักผ่อน
และในขณะเดียวกันในห้องรับแขกที่บ้านตระกูลจี้
คุณนายจี้อายุเพียง 40 ต้น ๆ ในปีนี้ เป็นช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์
วันนี้เธอเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ จึงได้เรียกบรรดาเหล่าคุณนายเพื่อนสนิทมาเล่นไพ่นกกระจอก
ขณะเล่นไพ่ เธอก็แจกของขวัญที่เธอนำมาให้เพื่อน ๆ เมื่อกลับจากต่างประเทศ
ตอนนี้ทุกคนนั่งรวมกลุ่มคุยซุบซิบเล่นไพ่นกกระจอกอย่างสบายใจ
คุณแม่จี้ นั่งอยู่ตรงกลางและรายล้อมไปด้วยคุณนายไฮโซอีกหลายคน เมื่อเห็นเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่กลับมาก็อดที่จะถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “ทำไมวันนี้เธอถึงได้อารมณ์ดีอะไรขนาดนี้ มีเรื่องดี ๆ อะไรเล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ?”
คุณแม่จี้ เม้มปากยิ้ม มองดูเธอและลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องดี ๆ ให้กับเพื่อนพี่น้องของเธอได้ฟัง
เธอเอนตัวลงและพูดเบา ๆ: “ฉันจะบอกพวกเธอ แต่พวกเธออย่าไปบอกใครล่ะ ฉันรู้สึกว่าใกล้จะได้อุ้มหลายแล้ว”
ทุกคนอึ้งไปและมองเธออย่างไม่น่าเชื่อ “ทำไมเร็วจัง? หยุนซูของเธอยังไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ?”
คุณแม่จี้ เลิกคิ้ว “รอให้เขามีแฟน คงต้องรอจนปีมะโว้โน่นแหละ ให้ต้นสาคูออกดอกไม่แน่ลูกฉันอาจจะยังหาแฟนไม่ได้ก็ได้”
คำอุปมานี้ทำให้ ชิงชิง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและจ้องมองเธอ “แม่ที่ไหนพูดถึงลูกแบบนี้? ถ้าหยุนซูได้ยินเขาต้องคิดบัญชีกับเธอแน่”
คุณแม่จี้ พูดออกมา “เขากล้าเหรอ”
ในกลุ่มมีคุณนายคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย: “แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าใกล้จะได้อุ้มหลานแล้ว?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ คุณแม่จี้ รู้สึกอายเล็กน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกวักมือเรียก: “เธอเขยิบมาสิ ฉันจะแอบบอกเธอ”
คนคนนั้นเอียงหูเข้าไปหาและคุณแม่จี้ ก็กระซิบพูดบางอย่างที่ข้างหูเธอ
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ดวงตาของอีกฝ่ายก็เบิกกว้างขึ้นและใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
เธอตะลึงไปชั่วขณะก่อนที่เธอจะกลับมามีสติอีกครั้งจากนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอีกหัวเราะออกมาดัง ๆ และส่ายหัว
“เธอทำแบบนี้หยุนซูจะโกรธเอานะ?”
คุณแม่จี้ เบ้ปากอย่างเยาะเย้ย “เขาโกรธเหรอ? ฉันไม่โกรธแล้วเขาจะโกรธอะไร? เธอดูนะเขาอายุขนาดนี้แล้ว ยี่สิบเจ็ดแล้ว ฉันเคยบอกเขาว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงแบบไหนก็ให้พากลับมาก่อน ให้ฉันได้เห็นความหวังสักเล็กน้อย!
แล้วยังไง! นี่ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว สักคนเขาก็ไม่เคยพากลับมา ถ้าไม่ใช่ลูกชายฉัน ฉันคงสงสัยว่าไอ้นั่นเขาใช้การได้รึเปล่า!”