บทที่ 31 เขาไม่ผิด
จิ่งหนิงดูเหมือนจะได้ยินเรื่องตลก
เธอมองไปที่ มู่ยั่นเจ๋ออย่างแดกดัน และพูด “คุณหมายความว่า พวกเขาเป็นคนเดียวที่ผิด แต่คุณไม่ผิดใช่มั้ย”
มู่ยั่นเจ๋อชะงักงันเล็กน้อย
เขาหายใจเข้าลึกๆ และอธิบาย “ฉันไม่รู้ว่าคุณถูกวางยาเมื่อคืน ในเวลานั้นสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับคุณ แต่ฉันไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้น และในตอนนั้นฉันจะช่วยคุณนะ แต่เสี่ยวหย่าก็ปวดท้องขึ้นมา ฉันจะทิ้งเธอไว้คนเดียวไม่ได้”
จิ่งหนิงเลิกคิ้ว แล้วถาม “แล้วยังไงละ ลูกของเธอหลุดหรือยัง”
มู่ยั่นเจ๋อนิ่งไปชั่วขณะ และตอบ “ไม่”
“ในเมื่อไม่หลุด แล้วเธอจะเจ็บท้องโดยไม่มีสาเหตุได้อย่างไร และเมื่อกี้ฉันเห็นว่าเธอสบายดีอยู่ไม่ใช่เหรอ ดูไม่เหมือนว่ามีสัญญาณของการแท้งลูกเลย!”
มู่ยั่นเจ๋อ หน้าเสียเล็กน้อย และพูด
“คุณหมายความว่าไง”
จิ่งหนิงหัวเราะเบาๆ ตอบ “ไม่ได้หมายความว่าอะไร ก็แค่คิดว่าทักษะการแสดงกระจอกงอกง่อยอย่างนั้นก็สามารถหลอกคุณจนหัวหมุนได้ มู่ยั่นเจ๋อ ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนฉันประเมินค่าคุณสูงไปแล้วละ!”
“จิ่งหนิง!”
สิ่งที่มู่ยั่นเจ๋อรับไม่ได้ที่สุด ก็คือท่าทีที่จิ่งหนิงดูถูกเขา
นั่นทำให้เขานึกถึงอะไรๆเยอะมาก……
เขาหน้าขรึมลง และกัดฟันพูด “คุณหยุดพูดจาแย่ๆแบบนั้นได้ไหม ถึงอย่างไรเสี่ยวหย่าก็เป็นน้องสาวของคุณ ถ้าคุณไม่ชอบต่อไปก็ไม่ต้องมาเจอกันก็พอ ทำไมต้องไปสาปแช่งคนอื่นอย่างอำมหิตด้วย เมื่อก่อนคุณไม่ใช่คนแบบนี้เลย!”
จิ่งหนิงก็หน้าเสีย
เธอหัวเราะเยาะ และมองไปที่มู่ยั่นเจ๋อด้วยสายตาเย็นชา
“พวกเขาตั้งใจทำร้ายฉัน ฉันแค่พูดว่าแท้งลูกคำเดียว คุณคิดว่าฉันอำมหิตอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมคุณไม่นึกถึงสิ่งที่เธอทำกับฉันบ้างละ”
มู่ยั่นเจ๋อรู้สึกหน่วงเล็กน้อย และยังขาดความมั่นใจอยู่บ้าง
สุดท้ายก็แค่พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “แต่สุดท้ายคุณก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเสี่ยวหย่าเลย!”
จิ่งหนิงยิ้มถากถาง ส่ายหัว และขี้เกียจที่จะคุยกับเขาด้วยซ้ำ
เธอหันหลังและเดินไปทางโรลส์รอยซ์
แต่ก็มีเสียงพูดดังมาจากข้างหลังว่า “เดี๋ยวก่อน!”
จิ่งหนิงหยุดเดิน และทำหน้าเย็นชา
มู่ยั่นเจ๋อเดินตามไปข้างหน้า และหยุดห่างจากเธอเพียงหนึ่งก้าว
ฝนตกปรอยๆระหว่างคนทั้งสอง เหมือนมีสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็น กั้นพวกเขาไว้
เธอพูดอย่างเย็นชา: “มีอะไรก็รีบพูด! ฉันไม่มีเวลาให้กับคุณมากนัก!”
มู่ยั่นเจ๋อบีบฝ่ามือแน่น และเขาก็ถามคำถามที่อยู่ในใจที่อยากถามมากที่สุดออกมา
“คุณกับเขา…คบกันจริงเหรอ”
จิ่งหนิงเข้าใจทันทีว่า “เขา” ที่เขาถามนั้น คือใคร
เธอเผยอมุมปากเล็กน้อย โดยไม่หันไป แต่เอียงหัวเล็กน้อย ก็พอที่จะทำให้เขาเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ และตอบ
“ใช่แล้วไงล่ะ”
“มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”
มู่ยั่นเจ๋อ: “….”
เขานิ่งไปชั่วขณะ และพูดเสียงขรึม: “ลู่จิ่งเซินไม่ใช่คนง่ายๆอย่างที่คุณคิด เบื้องหลังเขาซับซ้อน ไม่ใช่คู่ที่ดีของคุณหรอก ไม่ช้าก็เร็วคุณจะเสียใจที่คบกับเขา!”
จิ่งหนิงยิ้ม
รอยยิ้มนั้น เป็นรอยยิ้มที่บอกไม่ได้ว่าเศร้าหรือถากถาง
“มีคนเคยบอกว่าเราเป็นกิ่งทองใบหยก และฐานะเท่าเทียมกัน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็น”
มู่ยั่นเจ๋อ: “….”
“มู่ยั่นเจ๋อ อย่าทำตัวเป็นคนฉลาด คิดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าใจทุกอย่างเสมอไป เพราะในที่สุดคุณจะพบว่า คุณไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย!”
เธอพูดจบ ก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก จึงเดินก้าวยาวๆออกไปโดยสวมรองเท้าส้นสูง
มีคนกางร่มมารอรับสักพักแล้ว
ร่มสีเขียวเข้มถืออยู่เหนือหัวของเธอ ด้วยความเคารพ
มีคนก้มลงดึงประตูรถเปิดให้เธอ จิ่งหนิงเข้าไปนั่ง ด้วยท่าทีเย็นชาและสงบเสงี่ยมที่ไม่สามารถอธิบายได้
มู่ยั่นเจ๋อยังยืนอยู่ที่เดิม มองดูประตูรถคันนั้นปิดลง ด้วยความงุนงง
จู่ๆเขาก็พบว่า เหมือนตัวเขาเองไม่เคยเข้าใจผู้หญิงคนนี้เลย
เป็นเวลาหกปีเต็ม ความทรงจำที่เขามีเกี่ยวกับเธอ ดูเหมือนยังหยุดอยู่ในช่วงฤดูร้อนเมื่อหกปีก่อน
เด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนสีน้ำเงิน ผูกผมหางม้าสูง ถือหนังสือแบบฝึกหัดไว้ในมือ และส่งยิ้มหวานให้เขา
ในตอนนั้น หัวใจของเขาละลายเหมือนหิมะในฤดูใบไม้ผลิ ช่างงดงามเกินบรรยาย
แต่ความทรงจำหลังจากนั้นก็เลือนรางไป
เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับโม่ไฉ่เวย ตระกูลจิ่งก็เปลี่ยนเจ้าของ และเธอก็เดินทางไปต่างประเทศ
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยิ้มให้เขาอีก น้ำเสียงที่อ่อนโยนมีเสน่ห์เหล่านั้น ก็ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยเสียงที่เยือกเย็นและเงียบสงบ
เหมือนน้ำแข็งที่ไม่ละลายมาเป็นพันปี คุณไม่มีทางรู้ได้เลยเธอกำลังคิดอะไร และไม่รู้จะทำให้น้ำแข็งก้อนนี้ละลายได้ยังไง
ถึงแม้ว่าคุณยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดูเหมือนว่าระยะห่างของพวกคุณอยู่ใกล้กันมาก แต่ความจริงคุณรู้ว่า พวกคุณอยู่ไกลกันมาก
ไกลเกินกว่าที่คุณจะสัมผัสหัวใจเธอได้ ไกลจนคุณรู้สึก….ถ้าเป็นไปได้ จะไม่แม้แต่เริ่มต้นความสัมพันธ์รักเมื่อหกปีก่อน
และด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงรู้สึกมาตลอดว่า การเลิกกันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เขารักเสี่ยวหย่า เสี่ยวหย่าก็รักเขา จิ่งหนิงเป็นเพียงความฝันที่แสนสั้นและสวยงามในวัยหนุ่มของเขา
เขาตื่นขึ้นมาจากความฝันนี้นานแล้ว แต่เป็นเพราะทนไม่ได้ เขาจึงไม่ได้ปลุกเธอ
เพราะตอนนี้ที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว
แต่ทำไมถึงรู้สึกเศร้ากันนะ
เมื่อได้เห็นเธอเข้าไปนั่งในรถของผู้ชายคนอื่น เมื่อได้เห็นคนเหล่านั้นปฏิบัติต่อเธอด้วยความเคารพ เหมือนปฏิบัติกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์
ทำไมเขาต้องรู้สึกวุ่นวายสับสนในใจด้วย
ราวกับว่า ของสำคัญที่ครอบครองมาเป็นเวลานาน ถูกพรากเอาไปอย่างกะทันหัน
ที่ตรงนั้นเป็นหลุมไปแล้ว มันว่างเปล่า และมีลมหนาวพัดเข้ามา ทำให้รู้สึกหนาวที่หลังนิดหน่อย
มู่ยั่นเจ๋อเดินกลับไปด้วยความสิ้นหวัง และเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เขาหยิบขึ้นมารับสาย ปลายสายเป็นเสียงที่โกรธของมู่เทียนหง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ครอบครัวของจิ่งเสี่ยวหย่าพวกเขาช่างไร้ยางอายจริงๆ ทำเรื่องไร้ยางอายแบบนั้นได้ยังไง!”
มู่ยั่นเจ๋อเพิ่งได้สติกลับมา ค่อยๆทำใจให้เย็นลง และตอบ “พ่อ เรื่องมันยาว ผมกลับไปแล้วจะอธิบายให้ฟัง”
……
รถยนต์โรลส์รอยซ์คันสีดำแล่นอยู่บนถนนทางหลวงในตอนเช้าตรู่
ภายในรถ จิ่งหนิงยิ้มและมองไปที่ผู้ชายที่นั่งข้างๆ
ลู่จิ่งเซินรู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่ถูกเธอมอง จึงกระแอมไอเบาๆออกมาทีหนึ่ง
ทันใดนั้น ก็ยื่นมือออกไป และผลักหน้าเธอออกไป
“ประธานลู่ ความเมตตาของคุณในวันนี้ ฉันจะจำมันไว้! ฉันจะตอบแทนคุณเมื่อมีโอกาสแน่นอน”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วเล็กน้อย และหันหน้าไปมองเธอ “คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ”
จิ่งหนิงยิ้มฝืดๆ
ความเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาของลู่จิ่งเซิน “คุณนายลู่ คุณต้องการให้ฉันสอนวิธีเรียกสามีของตัวเองไหม”
จิ่งหนิง:“……”
เธอส่ายหัวอย่างรวดเร็ว และตอบ “ไม่ต้องค่ะ”
“ถ้างั้นเรียกให้ฟังก่อนสิ”
จิ่งหนิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ที่นี่ เดี๋ยวนี้เหรอ…..ไม่ดีมั้ง”
ที่ข้างหน้า ซูมู่รีบพูดขึ้นทันทีว่า: “นายหญิง ผมหูหนวก ฟังไม่ได้ยินหรอก”
จิ่งหนิง: “….”
ลู่จิ่งเซินกวาดตามองไปด้วยสายตาเย็นชา ซูมู่ก็ปิดปากลงทันที และยกแผ่นกั้นตรงกลางขึ้นปิด
จิ่งหนิงก็ยิ่งเงียบลง
พูดแค่ไม่กี่คำเอง ต้องถึงขั้นนี้เลยเหรอ
ทำเหมือนกับว่าพวกเขากำลังทำสิ่งที่น่าอับอายอยู่เบื้องหลัง!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เธอก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
เฮ้ย! นี่คิดอะไรไร้สาระอยู่