บทที่ 325 ทุกอย่างเปล่าประโยชน์
ในห้องน้ำชาเงียบไปทันที
จิ่งหนิงกับนายท่านกวนไม่ค่อยสนิทสนมกัน เวลาสั้นๆไม่กี่ชั่วโมง ก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากมาย
แต่ไม่ว่ายังไงข่าวร้ายแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกใจหายไม่น้อย
“เสียใจด้วยนะคะ ลุงกวนสอง”
กวนจี้หมิงยิ้ม
“ไม่เป็นไร เกิดแก่เจ็บตาย ไม่ว่าใครก็ต้องผ่านมันสักวัน นายท่านเจ็บป่วยมานานหลายปี อยู่ไปก็ทรมาน คำพูดแบบนี้คนเป็นลูกไม่ควรพูด อายุก็มากแล้ว จากไปก็ไม่เป็นไร
เพียงแค่ครั้งนั้นที่เสี่ยวหวั่นเพราะเรื่องลูก สภาพจิตใจไม่ค่อยดี ถึงแม้ว่ารับเสว่เฟยมาเลี้ยง ก็ไม่เคยปล่อยวางความทุกข์ในใจเลย จนทำให้อายุเพียงสามสิบกว่าก็ต้องจากไป
เพราะเรื่องนี้ทำให้นายท่านฝังใจมาตลอด หลายปีนี้มายุ่งเรื่องต่างๆนานาในบ้าน รวมกับไม่รู้ว่าเด็กเป็นหรือตาย ก็ไม่มีเวลาตามหา ตอนนี้ชีวิตก็ใกล้มาถึงปลายทางแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากให้ตัวเองเสียใจ ถึงได้ตามหาคนกลับมาให้ได้
ความจริงแล้ว ไม่ว่าเด็กจะจริงหรือปลอม ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว ก็แค่นายท่านคิดว่าเธอคือตัวจริง ก็คือตัวจริง ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งก็เปล่าประโยชน์”
กวนจี้หมิงพูดจบ ทั้งสามก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
จิ่งหนิงไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไร
เธอเพิ่งเข้าใจทุกอย่างตอนนี้ คำพูดของลู่จิ่งเซินก่อนหน้านี้ เด็กคนนั้นกลับมาก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีอะไร
ในบ้านนี้ นอกจากนายท่านแล้ว คงไม่มีใครหวังว่าเธอจะกลับมา
เพราะว่า ดูแล้วนายท่านร่างกายจะไม่ไหวแล้ว พินัยกรรมไม่รู้ว่าได้เขียนแล้วหรือยัง มีหลานเพิ่มขึ้นอีกคน ก็มีคู่แข่งเพิ่มอีกคน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอ่อนแอไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง
ตระกูลผู้ดีร่ำรวย บางครั้งในมุมมองหนึ่ง มันก็ช่างทำให้คนรู้สึกใจหาย
จิ่งหนิงไม่พูดอะไรอีก ลู่จิ่งเซินก็ได้คำตอบแล้ว จึงไม่ถามอะไรอีก
ทั้งสองลุกขึ้นและกล่าวลากับกวนจี้หมิง
กวนจี้หมิงลุกขึ้นมาส่งพวกเขา เดินถึงหน้าประตู เขามองจิ่งหนิง เหมือนมีอะไรจะพูด
จิ่งหนิงรู้ว่าเขาอยากพูดอะไร จึงพูดขึ้นเสียงเรียบ “คุณวางใจ ขอให้เธอไม่มายุ่งกับหนู หนูจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น จะทำเป็นไม่รู้จักคนคนนี้เท่านั้น ความโกรธแค้นในอดีต สำหรับหนู มันผ่านไปแล้ว สิ่งที่ควรดำเนินตามกฎหมายก็ชดใช้แล้ว อะไรที่เป็นของหนูก็เอากลับมาแล้ว พูดไปแล้ว เธอใช้แผนทุกอย่าง สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรดี หนูไม่จับไม่ปล่อยแน่นอน เหนื่อยเปล่าๆค่ะ”
กวนจี้หมิงได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็รู้สึกวางใจ
“ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันก็ต้องขอบใจหนูตรงนี้เลยนะ”
จิ่งหนิงพยักหน้าเบาๆ หันไปเดินจากไปพร้อมกับลู่จิ่งเซิน
กลับไปถึงบ้าน เวลายังไม่ค่ำนัก
ทั้งสองคนไม่ได้กินอะไรตอนอยู่บ้านตระกูลกวน ป้าหลิวเห็นพวกเขากลับมา ก็ต้มบัวลอยที่จิ่งหนิงชอบกิน ยกไปให้พวกเขากิน
จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินนั่งในโต๊ะอาหาร จิ่งหนิงกินบัวลอยไป ก็นั่งคิดไป
ลู่จิ่งเซินมองเธอ แล้วถาม “ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจ เดี๋ยวผมพาคุณบุกไปเปิดโปงทุกอย่างเลย จะได้ไม่ต้องนั่งกินอะไรไม่อร่อยแบบนี้”
จิ่งหนิงอึ้ง ถึงรู้ตัว แล้วรีบอธิบาย “ออ ไม่ใช่ ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องเขา”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว
“แล้วคุณคิดอะไรอยู่?”
จิ่งหนิงลังเลนิดหนึ่ง จึงพูดขึ้น “ฉันกำลังคิด เมื่อก่อนได้ยินตลอดว่านายท่านกวนดีกับกวนเสว่เฟยมาก วันนี้เห็นแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ลือกัน คุณว่าเป็นเพราะจิ่งเสี่ยวหย่ากลับมารึเปล่า เพราะฉะนั้นแม้แต่กวนเสว่เฟยที่รับมาเลี้ยงก็ไม่ได้ดีด้วยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว?”
ลู่จิ่งเซินหน้าดำไปเล็กน้อย
“คิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็เพราะเรื่องนี้?”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“เหอะ เธอจะถูกรักหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับคุณ? คุณต้องเป็นห่วงแทนเธอขนาดนี้ไหม?”
จิ่งหนิงไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆเขาถึงโมโห จึงเบ้ปากอย่างไม่พอใจ
“ยังไงเขาก็ชอบคุณมาตั้งหลายปี ยังเป็นแฟนเก่าคุณ เผลอๆยังเป็นรักแรกด้วยซ้ำ ตอนนี้กลายเป็นแบบนี้ คุณไม่เป็นห่วงสักนิด แบบนี้ถึงเรียกว่าไม่มีหัวใจ ใจดำใจร้าย ยังมาว่าฉัน”
ลู่จิ่งเซินนิ่งไป
จิ่งหนิงไม่ใช่คนชอบขุดเรื่องในอดีตมาพูด แต่ผ่านไปสักพัก ก็อดไม่ได้ที่จะเอาเรื่องกวนเสว่เฟยมาหยอกเขาบ้าง
เขาวางช้อน มองจิ่งหนิง พูดอย่างจริงจัง “ผมขอพูดอีกครั้ง ผมไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นแฟนผม เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ล้อกันเล่นสมัยเด็กๆ และคนข้างนอกเขาลือกัน อีกอย่าง ถ้าเธอเป็นแฟนเก่าผมจริง แต่ก็เลิกกันนานหลายปีแล้ว ตอนนี้เราไม่มีความสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผมไม่มีอะไรต้องยุ่งกับเธอ คุณเป็นเมียผม ยิ่งไม่ต้องไปห่วงเธอ เข้าใจไหม?”
จิ่งหนิงยักคิ้ว หัวเราะอย่างล้อเล่น
“คุณจะตื่นเต้นขนาดนี้ทำไม? ฉันก็แค่ล้อเล่น ยังอธิบายเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้”
ลู่จิ่งเซิน “……”
จิ่งหนิงเห็นเขาสีหน้าเปลี่ยนไป กลัวเขาคิดจริงจัง จึงรีบพูดแล้วหัวเราะ
“โถ คุณก็อย่างจริงจังขนาดนี้ซิ สมัยนี้ใครไม่มีแฟนเก่าละ ก่อนฉันรู้จักคุณ ก็มีความรักมาก่อน ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือหรอก”
พอคำพูดจบลง ก็เห็นสีหน้าผู้ชายยิ่งหน้าดำเคร่งเครียดกว่าเดิม
เวลาเดียวกัน ป้าหลิวยิ้มเข้ามาพูดว่า “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง คุณหัวมาค่ะ”
จิ่งหนิงอึ้งไปนิดหนึ่ง รู้สึกแปลกใจ
ดูเวลา สี่ทุ่มแล้ว
หัวเหยาตั้งแต่คลอดลูกกลับมาเมืองหลวงแล้ว ก็อยู่แต่บ้าน ปกตินอกจากงานเลี้ยงแล้ว ก็ไม่ออกไปไหนเวลาดึกขนาดนี้
เวลานี้ เธอมาทำไม?
ด้วยความสงสัย จิ่งหนิงลุกขึ้นเดินออกไป
เพิ่งเดินถึงห้องรับแขก ก็เห็นหัวเหยาอุ้มลูก ด้านหลังยังมีเสี่ยวจ้าว ถือถุงใบใหญ่เดินเข้ามา
“เหยาเหยา” เธอเรียก เดินเข้าไป พูดอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
หัวเหยาหัวเราะ “ไม่เป็นไร ฉันมาดึกขนาดนี้ ไม่ได้รบกวนพวกเธอนะ”
ลู่จิ่งเซินเดินตามหลังจิ่งหนิงมา สีหน้าเรียบ มองเธอไปครู่หนึ่ง แล้วพูดกับจิ่งหนิง “พวกคุณคุยกัน ผมไปห้องหนังสือก่อนนะ”
จิ่งหนิงรู้ เขาอยากให้เธอกับเพื่อนรักได้คุยกันสองคน จึงพยักหน้าตอบ
พอลู่จิ่งเซินขึ้นไปแล้ว จิ่งหนิงก็พอหัวเหยาไปนั่งที่โซฟา มองดูลูกที่หลับสนิทในอ้อมกอดเธอ แล้วพูด “ดึกขนาดนี้แล้ว ข้างนอกหนาวขนาดนี้ เธออุ้มลูกออกมาทำไม?”
เดือนสิบสองในเมืองหลวง ข้างนอกหิมะเกาะตัวเป็นชั้น ไม่ใช่อากาศที่เด็กตัวเล็กๆทนไหวแน่
หัวเหยาถอนหายใจ พูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจ “ช่วยไม่ได้ ยังไงก็ต้องมา ให้เสี่ยวจ้าวพามาพรุ่งนี้เช้า สู้ฉันพามาเองดีกว่า วางใจกว่าเยอะ”
จิ่งหนิงไม่เข้าใจ
หัวเหยามองดูเธอ พูดอย่างจริงจัง “หนิงหนิง ช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”
จิ่งหนิงไม่ได้คิดก็พยักหน้า “เธอพูดเลย ขอแค่ฉันทำได้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ช่วยฉันดูแลเล่อเล่อหน่อยนะ ฉันจะกลับเมืองจิ้นหน่อย”