วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 330 ดีกับดีร่วมมือกัน

บทที่ 330 ดีกับดีร่วมมือกัน

และสถานการณ์ฝั่งหัวเหยา ถึงจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่มาก

ไม่ว่ายังไงก็เป็นลูกสาวแท้ๆ หัวจิ้งเจ๋อถึงจะยังโกรธอยู่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่ให้เธอเข้าบ้าน

รวมกับมีน้ำมันหล่อลื่นอย่างหัวยู่อยู่ทั้งคน อย่างน้อยสองพ่อลูกก็ได้นั่งกินข้าวในโต๊ะเดียวกัน

แต่สำหรับเรื่องสัญญา หัวจิ้งเจ๋อยังคงไม่ยอมเปิดปาก เห็นได้ชัดว่ายังอยากบีบเธออีกสักพัก

หัวเหยาถอนหายใจ จิ่งหนิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ก็ได้แต่บอกเธอว่าอย่าใจร้อน ค่อยๆเป็นค่อยๆไป

เรื่องมันเกี่ยวกับความสัมพันธ์พ่อลูก ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นคนนอก เรื่องแบบนี้ ก็ช่วยอะไรไม่ได้

หัวเหยาไม่ได้คุยกับเธอนาน ไม่กี่นาที ก็วางสาย

จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินเดินเล่นไปสักพัก ก็เดินกลับบ้าน

ค่ำคืนนี้ก็เป็นการกินเกี๊ยว ซึ่งบรรยากาศครึกครื้น

ในค่ำคืนแบบนี้ ถึงจะเป็นคนอย่างลู่หลันจือ ก็เก็บอาการไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย ไม่กล้าทำให้นายหญิงไม่พอใจ เพราะฉะนั้นบรรยากาศคืนนี้ก็ยังถือว่ามีความสุขกันดี

คืนนี้ เป็นวันเฝ้าไท้ส่วยเอี๋ย จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินก็ค้างคืนที่เรือนเก่า

เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ถูกเสียงประทัดปลูกแต่เช้า

ตำแหน่งบ้านตระกูลลู่อยู่กลางใจเมือง ในเมืองมีกฎห้ามจุดประทัด แต่นายท่านก็ไม่สนใจเพราะเป็นประเพณีเก่าแก่ ยังไงก็ต้องจุด

คนรุ่นแก่ สำหรับการจุดประทัดในวันตรุษจีน ก็เสมือนการประตูรับทรัพย์ รับโชคในปีใหม่นี้

อานอานตื่นแต่เช้า ถึงเธอจะอายุน้อย แต่ก็ใจกล้าไม่กลัวอะไร ดูประทัดดังไม่หยุด ก็ไม่กลัวเลยสักนิด ใช้มือปิดหูไว้ แล้วปรบมือกระโดดโลดเต้นอยู่ที่สนามหญ้า

จิ่งหนิงเพิ่งตื่น ยืนมองอยู่ริมหน้าต่างอยู่สักพัก ก็ถูกบรรยากาศอันมีความสุขนี้ หันไปผลักคนที่นอนอยู่ข้างๆ ซึ่งยังไม่ยอมตื่น “ลู่จิ่งเซิน ตื่นได้แล้ว คุณดูพวกอานอานตื่นกันหมดแล้ว

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ดูออกว่าไม่พอใจที่ถูกปลูกตั้งแต่เช้า แขนยาวยื่นไป ดึงจิ่งหนิงมากอดไว้

“พวกเขาตื่นแล้วก็ให้พวกเขาไปเล่นกัน นอนต่อกับผมอีกสักพัก”

จิ่งหนิงถูกเขากอดไว้กลางอก ต้องยิ้มอย่างเอือมระอา คิดถึงวันนี้เป็นวันพิเศษ ข้างนอกเสียงดังขนาดนี้ นายหญิงก็คงตื่นแต่เช้าแล้ว เป็นคนรุ่นหลัง ต้องไปกราบสวัสดีปีใหม่กับผู้ใหญ่ ตื่นสายเกินไปไม่ค่อยดี

ดังนั้นจึงยื่นมือไปจี้รักแร้ของผู้ชาย แล้วพูดอ้อน “พวกคุณย่าเขาตื่นกันหมดแล้ว ถ้านอนต่อต้องโดนต่อว่าแน่ รีบตื่นเถอะ”

ลู่จิ่งเซินไม่ตอบ แต่กอดเธอแน่น

เขามักทำตามใจตัวเอง แต่ก็เป็นคนมีวินัย ไม่ค่อยมีเวลานอนตื่นสายแบบนี้

จิ่งหนิงอ้อนอยู่สักพัก ก็ไม่ได้ผล รู้ว่าเขานอนดึกเมื่อคืน ก็ใจแข็งไม่พอที่จะปลูกเขาต่อ จึงให้เขานอนต่อ ผ่านไปสักพัก เขาหลับสนิทแล้ว เธอก็ค่อยๆออกจากอ้อมกอดเขา ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเอง

ในสวนหน้าบ้านครึกครื้นกันมาก

ไม่เพียงแค่นายท่านพาอานอานเล่น คนตระกูลกวนกับตระกูลเฟิงก็มีคนมาแล้ว

วันตรุษจีน เป็นประเพณีการไหว้แสดงความยินดีต่อกัน ถึงคนที่มามีแต่คนรุ่นหลัง แต่ก็มีความตั้งใจเต็มที่ บรรยากาศครึกครื้นมีความสุข

เฟิงยี่เข้ามา สวัสดีปีใหม่กับนายหญิงนายท่านเสร็จ รับอ่างเปาแล้ว จากนั้นก็เดินเข้ามา เจอจิ่งหนิงพอดี รีบพูดทัก “พี่สะใภ้ สวัสดีปีใหม่ พี่สองละครับ?”

จิ่งหนิงยิ้มพูด “ยังนอนอยู่เลย ทำไมตื่นเช้าจัง?”

“ปกติก็มาเวลานี้ทุกปี ชินแล้วครับ”

จิ่งหนิงหยิบอ่างเปาที่เตรียมไว้ให้เขา ถึงจะเป็นคนรุ่นเดียวกัน แต่เขาก็เรียกเธอพี่สะใภ้ ก็ต้องให้เป็นพิธีหน่อย

เฟิงยี่ก็ไม่เกรงใจ ยิ้มรับอย่างดีใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาลู่จิ่งเซิน

คนตระกูลกวนที่มา ก็คือกวนจี้หมิงกับกวนเสว่เฟย

คงรู้ว่าจิ่งหนิงกับจิ่งเสี่ยวหย่าเคยมีเรื่องบาดหมางกัน จึงไม่ได้ให้จิ่งเสี่ยวหย่ามา

จิ่งหนิงทักทายกับกวนจี้หมิงแล้ว ก็เดินไปหานายหญิง

ตอนเที่ยง คนทั้งสองตระกูลก็อยู่กินข้าวที่นี่

กินข้าวเสร็จ เฟิงยี่หาโอกาส แอบพูดกับเธอ “พี่สะใภ้ ผมมีความลับจะบอก พี่รู้จักจิ่งเสี่ยวหย่าที่เพิ่งกลับมาของตระกูลกวนไหม?”

จิ่งหนิงมองเขา แล้วพูดว่า “ทำไมเหรอ?”

“ผมได้ข่าวว่า เมื่อคืน คนตระกูลกู้ส่งคนไปตระกูลกวน ทำเรื่องสู่ขอ คนที่สู่ขอก็คือจิ่งเสี่ยวหย่า”

จิ่งหนิงรู้สึกตะลึงไปครู่หนึ่ง

เฟิงยี่กะพริบตา เหมือนได้ใจอะไรสักอย่าง

“พวกเขาเหมือนตั้งใจอยากมีสายสัมพันธ์กัน ตระกูลกู้นี่ก็ไม่ธรรมดา ตระกูลกวนเพิ่มหาคนเจอ พวกเขาก็รีบเข้าไปสู่ขอแล้ว กลัวคนอื่นแย่งไปอย่างนั้น ไม่รู้เสียเลยว่าคนที่หากลับมา อาจไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของตระกูลกวนก็ได้ หากนายท่านกวนจากไปแล้ว พวกเขาก็เหมือนใช้ตะกร้าตักน้ำ รั่วจนไม่เหลืออะไรเลย ที่น่าเสียด้วยคือ สงสารน้องเล็กตระกูลตู้เลย”

จิ่งหนิงอึ้งไปหลายวินาที นึกถึงเมื่อคืน ตอนที่ตัวเองกับลู่จิ่งเซินไปเดินเล่น ระหว่างทางเจอหนุ่มน้อยร่าเริงสดใสคนนั้น

จิ่งเสี่ยวหย่าจะหมั้นหมายกับเขา

แค่คิด เธอก็รู้สึกสันหลังเย็น

“พวกเขารู้เรื่องในอดีตของจิ่งเสี่ยวหย่าไหม?”

พูดถึงเรื่องนี้ เฟิงยี่ก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ทำไมจะไม่รู้ เรื่องในตระกูลจิ่งตอนนั้น เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตในโลกออนไลน์ ขอแค่มีใจอยากสืบ แค่ถามก็รู้แล้ว ปิดไม่ได้แน่”

จิ่งหนิงขมวดคิ้ว

“แล้วพวกเขายังให้น้องเล็กตระกูลกู้แต่งงานกับเธออีก?”

เฟิงยี่หัวเราะ

“จะเป็นไรไป? ลูกหลานตระกูลดัง อย่างตระกูลลู่กวนเฟิงกู้แบบนี้ ผลประโยชน์ส่วนตัวมันเล็กน้อยมาก ล้วนต้องผลประโยชน์ของครอบครัวมาก่อน ถึงน้องเล็กตระกูลกู้จะไม่ยอม ก็รับแรงกดดันจากนายท่านกวนไม่ไหวอยู่แล้ว ถึงระยะแรกจะโวยวายหนักหน่อย สุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ดี คนรุ่นเรา นอกจากพี่รองแล้ว คนอื่นจะมีใครที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ผลประโยชน์และแรงกดดันจากครอบครัว?”

เฟิงยี่ยากที่จะจริงจังสักครั้ง มีความเศร้าโศกอยู่ในนั้น

ความโดดเดี่ยวเศร้าโศกอยู่ในคำพูด

จิ่งหนิงคิดไปคิดมา ตบไหล่เขาเบาๆ

“อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป เรื่องอื่นฉันไม่กล้าพูด อย่างการใช้ชีวิตของคุณแบบนี้ จะมีตระกูลไหนกล้าเอาลูกสาวแต่งงานกับคุณ เพราะเรื่องแต่งงานก็เหมือนดาบสองคม ความสัมพันธ์ที่ดีต้องดีกับดีร่วมมือกัน หากไม่ดีก็อาจจะกลายเป็นศัตรูเลยก็ได้ ชื่อเสียงคุณเรื่องผู้หญิงมากมายขนาดนั้น ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเป็นบ่อไฟ ขอแค่ไม่ใช่คนสมองมีปัญหา ไม่น่ามีคนกระโดดลงไปแน่ เพราะฉะนั้นวางใจได้”

เฟิงยี่โดนเธอเสียดสีแบบนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกโมโหจนต้องกลอกตาใส่เธอ

“ผมอุตส่าห์มีน้ำใจเอาข่าวลือมาเล่าให้ฟัง คุณยังมาว่าผมอีก? เชอะ ครั้งหน้าดูว่าผมจะเอาข่าวมาเล่าให้ฟังอีกไหม”

พูดไป ก็เอามือกอดอก หันหลังเดินจากไป

จิ่งหนิงหัวเราะ แต่แค่ครู่เดียว รอยยิ้มนั้นก็จางหายไป

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset