บทที่ 331 ช่างโง่เขลาจริงๆ
ลู่จิ่งเซินเองก็รู้ข่าวคราวนี้ ทั้งที่จิ่งหนิงมีสีหน้ากังวล แต่เขากลับมีสีหน้าเบิกบาน
“ถ้าคุณชายกู้มีความคิดเห็นของตัวเองก็คงไม่ต้องทำตามคนในตระกูลอย่างฝืนใจหรอก ถ้าหากเขาทำตามอย่างฝืนใจ นั้นก็แสดงว่าเขาเป็นคนที่ไม่เด็ดเดี่ยวและกล้าตัดสินใจ ต่อให้ไม่แต่งงานกับจิ่งเสี่ยวหย่าก็คงไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นเหมือนกัน เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการเพียงการพึ่งพาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง”
จิ่งหนิงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“แต่เธอ…..”
ลู่จิ่งเซินจ้องมองเธอ แล้วหยิกบนฝ่ามือของเธอเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว” เขาพูดขึ้น : “เดิมทีตระกูลกู้กับตระกูลลู่ได้แสดงจุดยืนกันแล้ว ส่วนผู้หญิงคนนั้น เมื่อก่อนเคยทำแบบนั้นกับคุณด้วย ไม่ว่าเธอจะแต่งงานกับคุณชายกู้หรือเปล่า พวกคุณก็ไม่มีทางเปลี่ยนจากศัตรูเป็นเพื่อนได้หรอก เพราะฉะนั้นศัตรูคนนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง และพวกเขาแต่งงานหรือเปล่าก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรด้วย”
จิ่งหนิงเงยหน้าจ้องมองเขา พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยเผยสีหน้ากังวล
“ไม่เป็นไรจริงๆหรอ? ถ้าหากตระกูลกวนอยู่ฝั่งเดียวกันกับตระกูลกู้ คุณคนเดียวสามารถรับมือได้หรอ?”
ลู่จิ่งเซินยิ้มแย้มขึ้น
เขายื่นมือยกใบหน้าของเธอขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับลูบบนแก้มของเธอเบาๆ ไม่นานก็พูดขึ้นว่า : “ขอเพียงคุณอยู่เคียงข้างผมตลอดก็พอแล้ว”
จิ่งหญิงตกใจช็อก
ในดวงตาของผู้ชายเผยสายตาที่ทั้งอ่อนโยน ยืนหยัด แถมมีพลังงานบางอย่างที่พูดไม่ออกที่สามารถทำให้เธอสบายใจขึ้นด้วย
เธอยื่นมือโอบกอดเอวของเขา แล้วเอาหน้าซบบนหน้าอกของเขา
“ฉันอยู่เคียงข้างคุณตลอด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
ลู่จิ่งเซินยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเก้อเขินขึ้น
“วางใจเถอะ ถึงแม้ตระกูลกู้มีการเคลื่อนไหว แต่ก็คงไม่ใช่สองวันนี้หรอก อย่างน้อยก็ต้องรอผ่านพ้นปีนี้ก่อนถึงจะลงมือ ดังนั้นช่วงเวลานี้เรามาพักผ่อนวันหยุดให้เต็มที่กันดีกว่า โอเคไหม?”
จิ่งหนิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูด”อืม”เบาๆขึ้น
……
อีกด้านหนึ่ง ณ เมืองจิ้น
แค่ต้นปีใหม่ ตระกูลหัวก็มีบรรยากาศคึกคักแล้ว
ในฐานะที่หัวจิ้งเจ๋อเป็นหัวหน้าใหญ่วงการธุรกิจของเมืองจิ้น ดังนั้นคนที่มาสัมภาษณ์เขามีจำนวนนับไม่ถ้วน
หัวยู่เป็นคุณชายของหัวซื่อกรุ๊ป แน่นอนว่าต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้
เหล่าคนรับใช้ในบ้านใกล้จะบ้าตายแล้ว เพราะมีงานให้ทำตั้งแต่หลังห้องครัวจนถึงห้องรับแขกอย่างไม่หยุดหย่อน
ด้วยเหตุนี้ มีเพียงห้องของหัวเหยาที่กลายเป็นห้องที่เงียบสงบที่สุดในบ้าน
เธอขี้เกียจจะมองดูเหล่าพวกซุบซิบนินทาในงานเลี้ยง ด้วยเหตุนี้เธอเลยไม่ได้ลงมา แม้แต่อาหารเที่ยงก็ใช้ให้คนมาส่งในห้อง
หัวจิ้งเจ๋อยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขก เลยไม่มีเวลาสนใจเธอ ส่วนหัวยู่ ในระหว่างนั้นได้ส่งคนที่ตามเธอหนึ่งครั้งแล้ว ถามว่าเธอจะลงมาข้างล่างไหม ผู้อาวุโสของบริษัทล้วนมากันหมดเลย ในฐานะที่เธอเป็นชนรุ่นหลัง ในเมื่อกลับมาเมืองจิ้นแล้วก็ควรไปพบปะกันสักครั้ง
แต่กลับถูกหัวเหยาปฏิเสธ
เธอไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบริษัทเลย เพราะบริษัทมีพ่อและพี่ชายก็เพียงพออย่างมากแล้ว
ด้วยเหตุนี้เลยขี้เกียจไปพบกับคนเหล่านี้
หัวยู่เองก็จนปัญญา แต่ก็เข้าใจนิสัยใจคอของน้องสาวคนนี้ดี ด้วยเหตุนี้เลยไม่ฝืนบังคับ
เพราะมีแขกเยอะมาก และหัวเหยาไม่ยอมออกมาช่วยเหลือด้วย ในบ้านจึงขาดนายหญิง ต่อให้มีคนรับใช้เยอะมาก แต่ก็ยังคงยุ่งแทบไม่ทันอยู่
หัวจิ้งเจ๋อได้จองห้องหนึ่งที่โรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้บ้าน เตรียมพาแขกออกไปทานข้าวตอนกลางคืน
หัวเหยาไม่อยากไป เอาแต่ดูละครในห้องอย่างเงียบๆ
หัวจิ้งเจ๋อยังคงทำสงครามเย็นกับเธออยู่ เลยไม่ได้สนใจเธอ ถึงยังไงในบ้านก็มีคนรับใช้ มีอาหารสำเร็จรูปด้วย เธอสามารถหากินได้ไม่อดตาย ดังนั้นเมื่อถึงเวลาก็พาคนออกไปทันที
เมื่อได้ยินเสียงครื้นเครงจากข้างนอกค่อยๆเบาลง หัวเหยาจึงจะปิดโทรทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า หลับตา แล้วสวมรองเท้าแตะเดินออกไป
เมื่อคนรับใช้เห็นเธอออกมาจากห้องก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ
“คุณหนู คุณจะไปไหนหรอค่ะ?”
หัวเหยาส่ายมือเล็กน้อย “ไม่ต้องสนใจฉันหรอก ฉันจะเดินเล่นสักหน่อย”
เมื่อคนรับใช้ได้ยินแบบนี้ก็ไม่ซักถามมากความ แต่หันหลังเดินลงไปทันที
หัวเหยาเดินวนหาอยู่ในห้องทำงานรอบหนึ่ง
แต่ยังไม่เจอหนังสือสัญญาของตัวเองฉบับนั้น
เธอรู้ว่า ถึงแม้ตัวเองกับหัวจิ้งเจ๋อเป็นพ่อลูกกัน แต่หัวจิ้งเจ๋อคนนี้ เมื่อตอนโกรธเคือง กลับทำตัวเหมือนไม่ใช่พ่อที่เธอรู้จักเลย
ถ้าหากเธออยากกลับไปถ่ายละคร และไม่ถูกพ่อบังคับ เธอต้องหาหนังสือสัญญาฉบับนั้นให้เจอก่อน
แต่เธอหาบนตู้หนังสือทั้งหมดแล้ว แต่กลับไม่พบร่องรอยเลยแม้แต่นิดเดียว
หัวเหยาค้นหาอยู่สักพักใหญ่ สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืนด้วยความรำคาญใจ ขณะที่คิดอยากถามพี่ใหญ่ว่าเห็นหนังสือสัญญาฉบับนั้นไหม คิดไม่ถึงแค่หันหน้ากลับมาก็เห็นหัวยู่กำลังยืนอยู่หน้าประตู
เธอสะดุ้งตกใจ พร้อมกับรีบเอามือตบบนหน้าอกของตัวเอง
“พี่ชาย! คุณทำอะไร? ทำฉันตกใจหมดเลย”
หัวยู่ส่ายหน้าด้วยสีหน้าจนปัญญา
เขาก้าวเท้าเดินเข้ามา และดึงหัวเหยาที่มีสภาพยุ่งเหยิงออกมายืนที่โล่ง แล้วพูดขึ้นว่า : “หยุดเสียเวลาเถอะ หนังสือสัญญาฉบับนั้นของเธอ พ่อเป็นคนเก็บเอง หากไม่มีการอนุญาตจากเขา ใครก็ไปเอามาไม่ได้ เขาได้กีดกั้นเธอตั้งนานแล้ว เช่นนั้นจะเอาของแบบนั้นมาไว้ในห้องได้ยังไง?”
หัวเหยานิ่งอึ้งชั่วขณะ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แม้แต่คุณยังไม่รู้ว่าอยู่ไหนหรอ?”
หัวยู่ส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ไม่รู้”
หัวยู่รู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อย
“เขาคิดจะทำอะไรหรอ? หรือว่าต้องการบีบบังคับฉันให้ตายเลยหรอ?” หัวยู่ยิ้มขึ้น
“พี่พูดแบบนี้ก็เพราะหวังดี และที่พ่อทำแบบนั้นก็หวังดีต่อเธอเหมือนกัน”
หัวเหยาเผยสีหน้าเย็นชาขึ้น แล้วเดินไปด้านข้าง
เมื่อหัวเหยาเห็นเธอมีท่าทางดื้อรั้นก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“พวกเราต่างไม่เห็นด้วยที่เธอจะคบกับผู้ชายคนนั้น ซึ่งเป็นเหตุผลของพวกเรา แต่เธอกลับไม่ฟัง และต้องการหนีไปพร้อมกับเขา แถมยังตั้งท้องลูกของเขาด้วย ดังนั้นพอแค่นี้เถอะ
หนึ่งปีมานี้ เธอเคยโทรมาหาที่บ้านสักครั้งบ้างไหม? เคยพูดประโยคเป็นห่วงบ้างไหม? พ่อไม่ได้โกรธเรื่องเธอกับผู้ชายคนนั้น เพียงแค่ลูกสาวที่เขาเลี้ยงดูมาหลายปี กลับทะเลาะกับที่บ้านแบบนี้ ้เพราะผู้ชายคนเดียว ถ้าหากเป็นเธอ เธอรู้สึกน้อยใจไหม? รู้สึกผิดหวังไหม?”
ชั่วพริบตาหัวเหยาตาแดงก่ำ
เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แล้วก้มหน้าเช็ดน้ำตา
ไม่นานก็พูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากติดต่อหาเขาหรอก”
แต่ทุกครั้งที่โทรหา มักถูกด่าทอตลอด เมื่อเจอแบบนี้นานเข้า เธอก็ขี้เกียจต้องพาตัวเองเผชิญกับคำด่าทออีก
หัวยู่เก็บรอยยิ้ม แล้วส่ายหน้าอย่างจนปัญญาขึ้น
เธอยื่นมือลูบบนหัวของเธอเบาๆขึ้น และพูดขึ้นว่า
“น้องสาวที่โง่เขลาของฉัน ช่างโง่เขลาจริงๆ”
หัวเหยามีเสียงแหบแห้งขึ้น และไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
หัวยู่หันหลัง แล้วเดินไปหยิบหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งในลิ้นชักให้กับเธอ
หัวเหยานิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้วยื่นมือรับ เมื่อเห็นเนื้อหาบนหนังสือสัญญาชัดเจน เธอก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจช็อกทันที
“ไหนพี่บอกว่าไม่รู้…..”
หัวยู่ยักไหล่เล็กน้อย “ฉันไม่รู้จริงๆ ฉันไม่เคยช่วยเธอ ดังนั้นถ้าหากพ่อซักถาม เธอต้องไม่ชายฉัน ไม่เช่นนั้นฉันไม่เห็นว่าเธอเป็นน้องสาวแล้ว”
หัวเหยาสะดุ้งตกใจ ไม่นานก็ดึงสติกลับมา แล้วกระโจนเข้าโอบกอดหัวยู่ทันที
“พี่ชาย ขอบคุณพี่มาก”