บทที่ 338 เป็นคุณจริงหรอ
แต่ความลำบากทุกข์ยากในหนึ่งมานี้ของหัวเหยา เธอเองก็ทราบ
ก่อนหน้านี้พรำบ่นหลายครั้งว่า เป็นผู้ชายใจร้ายใจดำคนไหน ไม่มีความรับผิดชอบ มีลูกแล้วยังไม่ปรากฏตัวออกมา ทำให้หัวเหยาต้องทนรับความลำบากคนเดียว
เมื่อคิดแบบนี้ จิ่งหนิงก็เผยสีหน้าเมินเฉยขึ้น
ถึงแม้ว่ารู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเดียวดีเดียวร้าย แต่ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่ดี
จี้หลินยวนไม่สนใจ เขารู้ความสัมพันธ์ของจิ่งหนิงกับหัวเหยา ด้วยเหตุนี้เลยไม่เก็บเรื่องเล็กไว้ในใจ
หลังจากมารับเล่อเล่อเสร็จ จี้หลินยวนก็พาหัวเหยากลับบ้านทันที
ถึงแม้จิ่งหนิงยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับที่หัวเหยาคบกับเขาแบบนี้ แต่ถึงยังไงก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น เธอเลยไม่ค่อยแทรกแซงสักเท่าไหร่
โชคดีที่ได้รับหนังสือสัญญาแล้ว เธอตั้งใจอยากหวนกลับไปอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มีหัวยู่คอยช่วยเหลือ หนังสือสัญญาเป็นนักแสดงภายใต้ต้นสังกัดหัวซื่อกรุ๊ปก็ถือเป็นโมฆะ แต่หัวจิ้งเจ๋อยังคงโกรธเคืองอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่เขารู้ว่าเธอแต่งงานกับจี้หลินยวน ดังนั้นเขาเลยออกปากพูดขึ้นว่า ใครกล้าให้เธอเซ็นสัญญา คนนั้นถือเป็นศัตรูกับตัวเอง!
หัวจิ้งเจ๋อต้องการปิดกั้นเธอทุกวิถีทาง
ด้วยเหตุนี้ บริษัทที่มีความสนใจในตัวเธอหลายแห่งพากันล้มเลิกความคิด
ถึงแม้หัวเหยามีชื่อเสียงกว้างขวาง แต่อย่างแรกคือเธอเป็นคนมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง ไม่ชอบฟังคำสั่งของบริษัท อีกอย่างหากเซ็นสัญญากับเธอยังไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี
อย่างที่สองเรื่องที่หัวเหยาไปคลอดลูกที่ต่างประเทศ ถึงแม้ทางทีมงานได้ปกปิดอย่างมิดชิด แต่ก็ยังมีข่าวลือแพร่กระจายออกมา
ดังนั้นทุกคนล้วนรู้ว่า ไม่ควรมีปัญหากับหัวจิ้งเจ๋อ เพราะคนที่มีข่าวอื้อฉาว
แผนการหวนกลับมาของหัวเหยาจึงถูกกีดกั้น แต่หลังจากที่จิ่งหนิงรู้เรื่องก็ให้เธอเซ็นสัญญากับบริษัทซิงฮุยทันที
ลู่จิ่งเซินไม่มีความคิดเห็นต่างกับเรื่องนี้ จิ่งหนิงเป็นภรรยาของเขา ดังนั้นเพื่อนของจิ่งหนิงก็เป็นเพื่อนของเขาเหมือนกัน
ส่วนหัวเหยา เพราะเรื่องนี้รู้สึกบั่นทอนจิตใจอยู่สักพัก
ในสมรภูมิรบที่พ่อลูกทะเลาะกัน อันที่จริงไม่เพียงหัวจิ้งเจ๋อที่ลำบากใจ แต่เธอเองก็ลำบากใจเหมือนกัน
หากมีทางเลือกที่สาม ใครต่างก็ไม่อยากให้มันแย่ถึงขั้นนี้หรอก
สำหรับเรื่องนี้แล้ว จิ่งหนิงช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญาเท่านั้น
ในวันนี้เธอมีนัดทานข้าวกับเหยียนซื่อหวากับนักลงทุนอีกคน เหยียนซื่อหวามีหนังเรื่องใหม่อยากให้เธอแสดง เลยคิดอยากคุยกับเธอเรื่องตัวละครก่อน
จิ่งหนิงกับเหยียนซื่อหวารู้จักกันมานาน อีกอย่างเพราะรู้จักลู่จิ่งเซินด้วย ดังนั้นเลยปฏิบัติต่อเธออย่างเกรงใจ
พวกเขาทานข้าว และพูดคุยเรื่องการทำงานอย่างราบรื่น
จิ่งหนิงรับปากกับอานอานแล้วว่าจะไปดูหนังสือนิทานภาพเป็นเพื่อน ดังนั้นหลังจากกินข้าวเสร็จก็ไม่เสียเวลารีบกล่าวอำลากับเหยียนซื่อหวา และรีบจากไปทันที
เมื่อเดินมาถึงลานจอดรถยนต์ และเตรียมตัวขึ้นรถนั้น จู่ๆก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันที่มุมห้องด้านข้าง
รถยนต์ของเธอจอดอยู่ห่างมุมห้องไม่ไกล ระยะห่างประมาณสิบเมตร เพราะตรงกลางเสากั้นอยู่ ฝ่ายตรงข้ามเลยไม่เห็นเธอ และเธอก็ไม่เห็นคนทางนั้นด้วย
แต่เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูก็เกิดความสงสัยขึ้น ขณะเดียวกันก็หยุดฝีเท้าด้วย
ทางนั้นเหมือนกับมีผู้ชายกับผู้หญิงกำลังทะเลาะกันอยู่
ผู้หญิงพูดขึ้นว่า : “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ต่อให้ฉันมีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ! รีบไสหัวไปตอนนี้เลย หากถูกคนแอบถ่าย ฉันไม่มีทางปล่อยคุณแน่!”
ผู้ชายมีน้ำเสียงน่าสงสาร แถมแฝงด้วยน้ำเสียงขอร้องด้วย
“ผมรู้ว่าผมผิด คุณช่วยเห็นแก่ลูกช่วยยกโทษผมสักครั้งเถอะได้ไหม? คุณไม่คิดหรอว่าหากลูกคลอดออกมาไม่มีพ่อจะเป็นยังไง?”
“เห่อ! คลอดออกมาหรอ? คุณคิดมากไปแล้ว? ฉันบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะยอมให้เขาคลอดออกมา? อีกอย่างน้ำหน้าอย่างคุณหรอจะมาเป็นพ่อของลูกฉัน? คุณคิดว่าตัวเองเหมาะสมหรอ? แม้แต่อนาคตของตัวเองยังไม่รู้เลยว่าน่าเวทนาแค่ไหน แล้วคุณมีคุณสมบัติอะไรมาเป็นพ่อของลูกฉัน!”
“เสว่เฟย! ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้?”
“สิ่งที่ฉันพูดล้วนเป็นความจริง! เห้อเฉินจุน ฉันไม่ชอบคุณเลยแม้แต่นิดเดียว ขอร้องให้คุณเผชิญหน้ากับความจริงเถอะ! เรื่องคืนนั้นเป็นเพียงแค่ความผิดพลาด คุณช่วยมีสติหน่อยได้ไหม? ช่วยทำเหมือนทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และอย่ามารบกวนฉันอีก?”
“เสว่เฟย ผมรู้ว่าผมไม่ดีอะไรเลย กว่าจะมีการงานก็ถือว่าลำบากแล้ว และตอนนี้กลับพังหมดแล้ว แต่ผมรักคุณจริงๆ คุณช่วยเชื่อใจผมหน่อย ผมสามารถทำได้ สามารถแสดงศักยภาพให้คุณเห็น และไม่มีทางทำให้คุณต้องลำบากตอนอยู่กับผมแน่นอน……”
“พอแล้ว!”
กวนเสว่เฟยตะคอกดังขึ้น อาจเป็นเพราะเห้อเฉินจุนจับมือเธอ เธอเลยออกแรงสะบัดออกอย่างแรง จากนั้นก็เดินออกไปจากเสาตรงนั้น
เมื่อจิ่งหนิงเห็นเธอก็รีบก้มหน้า แล้วมุดเข้าในรถทันที
กระจกของรถยนต์ได้ติดตั้งเป็นกระจกดำมืด ที่ภายในสามารถเห็นข้างนอกชัดเจน แต่ข้างนอกไม่สามารถเห็นบรรยากาศภายใน
เมื่อประตูรถยนต์ปิดดัง”ปัง”ขึ้น กวนเสว่เฟยก็นิ่งอึ้งชั่วขณะ แล้วหันหน้าเหลือมองแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จิ่งหนิงนิ่งเงียบ และแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก จากนั้นก็สตาร์ทรถยนต์ขึ้น
จากนั้นก็ถอยรถออก แล้วขับออกไปทันที
ตอนที่เห็นป้ายทะเบียนรถยนต์ กวนเสว่เฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที เห้อเฉินจุนเดินเข้ามาจับมือเธออยากพูดบางอย่าง แต่กลับถูกเธอสะบัดมือออกอีกครั้ง
“เห้อเฉินจุน ฉันขอเตือนคุณเลยว่า เรื่องของเราห้ามให้คนอื่นรู้ ไม่เช่นนั้นฉันจะฆ่าคุณให้ตายจริงๆ!”
“เสว่เฟย…..”
“อีกอย่าง! เด็กคนนี้เป็นเพียงความผิดพลาด ฉันไม่เก็บเขาไว้หรอก คุณเองก็ไม่เหมาะสมเป็นพ่อของเด็กด้วย ดังนั้นอย่าคิดเพ้อเจ้อ พวกเราไม่ใช่คนชั้นเดียวกัน หากคุณยังตามระรานฉันอยู่ ไม่มีอะไรดีสำหรับพวกเราหรอก
ขอเพียงคุณปล่อยวาง ฉันจะมอบเงินก้อนหนึ่งให้กับคุณ ให้คุณไปจากที่นี้ แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากได้เงินหรืออยากใช้ชีวิตน่าสมเพชแบบนี้ คุณเลือกเอาเองละกัน! คิดได้แล้วค่อยโทรมาหาฉัน ตามนี้แหละ”
หลังจากพูดจบ เธอก็เดินขึ้นบนรถ แล้วขับไปอย่างรวดเร็ว
เห้อเฉินจุนจ้องมองรถยนต์จากไปด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ขณะเดียวกันก็กำหมัดอย่างแน่น
จิ่งหนิงขับไปได้ไม่ไกลก็ถูกรถยนต์เฟอร์รารี่สีแดงคันหนึ่งบีบให้จอด
หนึ่งนาทีต่อมา หน้าต่างกระจกถูกเคาะ เธอลดกระจกลง และเห็นใบหน้าสวยของกวนเสว่เฟย
“เป็นเธอจริงด้วย?”
กวนเสว่เฟยมีสีหน้ามืดครึ้ม
จิ่งหนิงรู้สึกจนปัญญา จึงทำได้เพียงยกมือทักทายกับเธอ “สวัสดี! คุณหนูกวน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เมื่อเปรียบเทียบแล้ว จิ่งหนิงมีสีหน้าเบิกบาน แต่กวนเสว่เฟยมีสีหน้าเคร่งเครียด
เธอหันหน้ามองรอบบริเวณ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า : “คุณหนูจิ่ง สะดวกให้ฉันขึ้นบนรถคุยสักหน่อยได้ไหมค่ะ?”
จิ่งหนิงยิ้มแห้งๆ “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ดูเหมือนพวกเราไม่มีเรื่องต้องคุยกัน”
กวนเสว่เฟยพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า : “คุณหนูจิ่ง ฉันไม่เคยมีเจตนาไม่ดีกับคุณเลย ถึงแม้คุณจะแย่งพี่เซินไป แต่ฉันก็ยินดีกับพวกคุณ แล้วคุณจะตีตัวออกห่างจากฉันทำไมกันค่ะ?”