บทที่339 ไม่ต้องมาข่มขู่
จิ่งหนิงเม้มริมฝีปาก และครุ่นคิดสักพัก แล้วรับปาก
“โอเค งั้นเธอขึ้นมาสิ”
กวนเสว่เฟยจอดรถยนต์ของตัวเองไว้ข้างหลัง แล้วขึ้นมานั่งบนที่นั่งข้างจิ่งหนิง
จิ่งหนิงรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เพราะนี่เป็นครั้งที่สองที่เธอรู้เรื่องของกวนเสว่เฟยกับเห้อเฉินจุน
สำนวนสุภาษิตว่า มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง แอบจับได้ตั้งสองครั้งติดต่อ อย่าว่าแต่กวนเสว่เฟยเลย แม้แต่เธอเองยังไม่กล้าเชื่อเลยว่าจะบังเอิญมากขนาดนี้
“คุณหนูกวน คุณอยากคุยกับฉันเรื่องอะไรหรอ?”
ถึงแม้ในใจรู้ดี แต่จิ่งหนิงยังคงซักถาม
กวนเสว่เฟยไม่ได้มองเธอ แต่จ้องมองเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา และพูดขึ้นว่า : “สิ่งที่ฉันกับเห้อเฉินจุนพูด เธอคงได้ยินหมดแล้วใช่ไหม?”
“เห่อ!”
จิ่งหนิงกระแอมอย่างเก้อเขินขึ้น และรีบพูดอธิบายขึ้นว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจหรอก จริงๆ ฉันแค่ลงมาขับรถกลับ ใครจะไปรู้ว่าพวกคุณก็อยู่ที่นี่เหมือนกันล่ะ”
กวนเสว่เฟยหันหน้ามองเธอ พร้อมเผยสายตาประชดจางๆ
“อ๋อ แต่เธอกลับได้ยินทั้งหมดหรอ?”
จิ่งหนิง : “…….”
เมื่อเห็นท่าทางของฝ่ายตรงข้ามแบบนี้ เธอก็เผยสีหน้ามืดครึ้มทันที และพูดขึ้นว่า : “โอเค ฉันยอมรับ ฉันได้ยินหมดเลย แต่เธอไม่ต้องกังวลหรอก เรื่องของเธอไม่เกี่ยวกับฉัน ดังนั้นฉันไม่บอกใครหรอก”
หวนเสว่เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “แบบนั้นแหละดีที่สุด”
จิ่งหนิงรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย
กวนเสว่เฟยพูดต่อว่า : “อันที่จริงฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันเลย มีแต่เขาที่พยายามตามจีบฉัน จิ่งหนิง เธอก็เป็นผู้หญิง เธอน่าจะเข้าใจความรู้สึกของฉัน ฉันไม่ชอบเขาเลย และไม่อยากคลอดเด็กคนนี้ด้วย ดังนั้นเรื่องของฉันกับเขา คนอื่นไม่สามารถรู้เด็ดขาด”
จิ่งหนิงฉีกปากยิ้มขึ้น
“ในเมื่อไม่ชอบ เช่นนั้นทำไมถึงอยู่ด้วยกันล่ะ?”
กวนเสว่เฟยนิ่งอึ้งชั่วขณะ
จากนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนสีหน้า โดยไม่พูดอธิบายอะไร
เธอสูบลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจ้องมองจิ่งหนิงด้วยสายตาจริงจัง “ขอเพียงเธอช่วยฉันเก็บความลับนี้ ฉันจะจดจำไว้ ในอนาคตหากเธอมีอะไรให้ช่วย บอกฉันตามตรงได้เลย หวังว่า….เธอจะเข้าใจฉันนะ”
จิ่งหนิงยิ้มแย้ม
“เธอไม่ต้องมาข่มขู่ฉันหรอก ถึงยังไงเธอก็ข่มขู่อะไรฉันไม่ได้หรอก”
กวนเสว่เฟย : “……”
จิ่งหนิงวางมือข้างหนึ่งบนขอบหน้าต่างรถยนต์ด้วยท่าทางผ่อนคลาย พร้อมจ้องมองและยิ้มแย้มเธอ
“ก่อนหน้านี้ที่ฉันช่วยเธอเก็บความลับ เพราะเธอไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับฉัน และฉันเองก็ไม่ชอบสนใจเรื่องของคนอื่นด้วย งั้นตามนี้ละกัน ส่วนเรื่องอื่น ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว คุณหนูกวน คุณคิดมากไปแล้วล่ะ”
กวนเสว่เฟยเผยสีหน้านิ่งอึ้งชั่วขณะ
เธอไม่ชอบท่าทางผ่อนคลายแบบนี้ของจิ่งหนิง ท่าทางที่เหมือนกับกำลังเหยียบย้ำเธอ พร้อมเหล่ตามองด้วยสายตาดูถูก
ทั้งที่เธอเป็นคุณหนูของตระกูลกวนที่มีอิทธิพล ส่วนผู้หญิงเบื้องหน้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น แต่กลับกล้าใช้ท่าทางแบบนี้พูดคุยกับเธอ สงสัยคิดว่าตัวเองสามารถครอบใจของลู่จิ่งเซินแล้ว เธอเหนือกว่า?
แต่การสั่งสอนสิบกว่าปีของกวนเสว่เฟยไม่ถือว่าไร้ประโยชน์
ถึงแม้ในใจรู้สึกไม่ค่อยยอมรับ แต่ก็ไม่เผยอารมณ์อะไรบนใบหน้า
นอกจากพยักหน้าเล็กน้อย
“โอเค ในเมื่อเธอพูดแบบนี้ ฉันเองก็สบายใจ ไม่ว่าอย่างไร บุญคุณครั้งนี้ฉันจะจดจำไว้ ในอนาคตฉันตอบแทนแน่นอน”
จิ่งหนิงยิ้มแย้ม โดยไม่พูดอะไร
ในเมื่อพูดคุยกระจ่างแล้ว กวนเสว่เฟยก็ไม่รีรอ รีบเดินลงจากรถยนต์ทันที
“คุณหนูจิ่ง ลาก่อนค่ะ”
จิ่งหนิงโบกมือต่อเธอเล็กน้อย
หลังจากกวนเสว่เฟยลงจากรถ เธอก็สตาร์ทรถ แล้วขับจากไป
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
อานอานรอเธอกลับมาจนเกือบจะหลับแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบวิ่งออกมาจากห้องทันที
“หม่ามี๊! ในที่สุดก็กลับมาแล้ว”
เมื่อจิ่งหนิงเห็นเด็กน้อยที่ง่วงนอนมากจนเปลือกตาจะปิดก็รู้สึกเอ็นดู พร้อมเดินเข้าไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา
“ขอโทษ หม่ามี๊กลับส่ายแล้ว อานอานง่วงนอนหรอค่ะ?”
อานอานหาวหนึ่งที แล้วรีบส่ายหน้า “อานอานไม่ง่วงค่ะ อายอานรอหม่ามี๊อยู่ค่ะ”
จิ่งหนิงหอมแก้มเด็กน้อย แล้วอุ้มพาเธอกลับเข้าห้อง แล้ววางลงบนเตียง
“โอเค เดียวหม่ามี๊ดูหนังสือนิทานภาพเป็นเพื่อนนะคะ หลังจากดูเรื่องแรกจบ เรามานอนกันนะคะ โอเคไหม?”
อานอานรับปากทันที
อ่านหนังสือนิทานภาพเรื่องแรกใช้เวลาไม่มาก ไม่นานก็อ่านจบ
จิ่งหนิงกล่อมเด็กน้อยนอนหลับเสร็จ ตอนออกมาจากห้องกลับไม่พบลู่จิ่งเซิน เลยเดินไปถามป้าหลิวที่เพิ่งออกมาจากหลังบ้าน “ป้าหลิวค่ะ ลู่จิ่งเซินละค่ะ? เขายังไม่กลับมาหรอค่ะ?”
บนใบหน้าของป้าหลิวมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย เธอถอนหายใจเล็กน้อย “คุณผู้ชายกลับมาตั้งแต่หนึ่งทุ่มแล้วค่ะ จากนั้นเหมือนได้รับสายหนึ่ง แล้วก็รีบออกไปทันทีเลยค่ะ”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้งชั่วขณะ
“เกิดอะไรขึ้นค่ะ?”
ป้าหลิวส่ายหน้า
“ยังไม่ทราบรายละเอียดค่ะ ได้ยินมาว่าคุณท่านของตระกูลกวนไม่ไหวแล้ว คุณท่านของบ้านเราเลยโทรหาคุณผู้ชาย ให้เขาไปเยี่ยมพร้อมกัน”
จิ่งหนิงสะดุ้งเล็กน้อย
คุณท่านตระกูลกวนมีสุขภาพร่างกายไม่ดีมาตลอด แต่ช่วงเวลานี้ก็ไม่ได้ยินอาการผิดปกติ
แต่ทำไมจู่ๆถึงอาการหนักแล้วล่ะ?
ถึงแม้ตอนนี้ทั้งสี่ตระกูลมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดี แต่คุณท่านตระกูลกวนกับคุณท่านลู่คบหากันนานกว่าสิบปีแล้ว
เรื่องการแข่งขันและผลประโยชน์ระหว่างตระกูลถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองคุณท่านถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้น ถ้าหากคุณท่านตระกูลกวนไม่ไหวจริงๆ คุณท่านตระกูลลู่ก็ต้องไปเยี่ยม ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผล
จิ่งหนิงครุ่นคิดสักพัก และพูดว่า : “ฉันทราบแล้วค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกคุณกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
ป้าหลิวพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจากไป
เมื่อจิ่งหนิงกลับห้องก็อาบน้ำ จากนั้นไม่นานลู่จิ่งเซินก็กลับมา
หลังจากผ่านเทศกาลตรุษจีน เมืองหลวงที่อยู่ทางภาคเหนือก็มีอุณหภูมิอบอุ่น แม้แต่ยามค่ำคืนก็มีอากาศหนาวด้วยเล็กน้อย
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินเสียงเครื่องยนต์ก็รู้เลยว่าลู่จิ่งเซินกลับมาแล้ว เลยรีบเดินลงข้างล่าง ขนาดอยู่ไกลยังสามารถสัมผัสได้ว่าผู้ชายมีความกังวล เธอเลยอดใจไม่ไหวซักถามขึ้น
ลู่จิ่งเซินนิ่งอึ้ง แล้วรีบปิดประตูลง จากนั้นก็หันหน้ามองชุดนอนผ้าบางบนตัวของจิ่งหนิง พร้อมขมวดคิ้วขึ้น
“ทำไมสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นแบบนี้?”
จิ่งหนิงยกมือถกแขนเสื้อตัวเองขึ้น แล้วเดินไปช่วยถอดเสื้อให้กับเขาพลาง และพูดพลางว่า : “อยู่บ้านต้องสวมเสื้อกี่ชิ้นหรอ? เป็นยังไงบ้าง? คุณท่านตระกูลกวนเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลู่จิ่งเซินก็เผยสีหน้ากังวลขึ้น
“ช่วยเหลือทันเวลา แต่ดูจากอาการคงอยู่ได้ไม่นานแล้ว”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้งเล็กน้อย ด้วยอิทธิพลของตระกูลกวน สามารถเชิญทีมหมอที่เก่งที่สุดในโลกได้เลย แต่ถ้าหากรักษาไม่ได้แล้ว งั้นก็คงต้องปล่อยตามเวรกรรม
ถึงแม้ไม่ได้สนิทกับคุณท่านตระกูลกวนมาก และไม่รู้สึกดีกับตระกูลกวนสักเท่าไหร่ด้วย แต่เมื่อได้ยินแบบนี้ ในใจก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
แต่จิ่งหนิงไม่ได้รู้สึกเสียใจนาน ไม่นานก็สงบสติอารมณ์ปกติ และพูดขึ้นว่า : “ในห้องครัวมีซุปร้อนๆอยู่ ป้าหลิวเคียวให้กับคุณโดยเฉพาะเลย เดียวฉันไปหยิบมาให้นะคะ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าเล็กน้อย