บทที่ 340 ทนดูไม่ได้
จิ่งหนิงเดินถือซุปเข้ามา นี่เป็นซุปที่ป้าหลิวเคียวโดยเฉพาะ เพราะช่วงนี้จิ่งหนิงไม่ค่อยสบายตัว มักรู้สึกหนาวตลอด ส่วนลู่จิ่งเซินก็ยุ่งมากด้วย ดังนั้นเลยเคียวซุปบำรุงร่างกายให้กับพวกเขา
จิ่งหนิงได้กินเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเลยนั่งอยู่เป็นเพื่อนลู่จิงเฉิน เธอมองดูเขากินซุปพลาง และพูดขึ้นพลางว่า : “คุณท่านกวนเป็นยังไงบ้างคะ ทางตระกูลกวนตอนนี้คงวุ่นวายมากแน่เลย!”
เมื่อพูดเรื่องนี้ ลู่จิงเฉินก็หัวเราะประชดขึ้น
“ไม่ใช่แค่วุ่นวายเท่านั้น แต่วุ่นวายจนแทบทนดูไม่ได้”
จิ่งหนิงยิ้มจางๆ
“ตระกูลกวนมีลูกชายลูกสาวจำนวนมาก อาสองกับลุงกวนไม่ได้มีแม่คนเดียวกัน อีกอย่างลูกพี่ลูกน้องเยอะ สองพี่น้องนี้ก็ยังทะเลาะเบาะแว้งกันด้วย โชคดีที่คุณท่านไม่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ผมคิดว่าเพื่อความสงบของตระกูล คุณท่านคงเตรียมการเรื่องพินัยกรรมแล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นคงวุ่นวายมากกว่านี้แน่”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าเล็กน้อย “หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
เขานิ่งอึ้งชั่วขณะ เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง เลยเหลือบมองจิ่งหนิงแวบหนึ่ง
จิ่งหนิงยักคิ้วเล็กน้อย
“มีอะไรหรอ?”
“เปล่าครับ”
ลู่จิ่งเซินเหมือนอยากหัวเราะ แต่ยิ้มจางๆออกมา และพูดขึ้นว่า : “วันนี้ตระกูลกู้ก็ส่งคนมาเยี่ยมเหมือนกัน คุณรู้ไหมว่าเขาส่งใครมา?”
“ใครหรอ?”
“คุณชายกู้。”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้งชั่วขณะ
“ผมรู้สึกว่าคุณชายกู้ไม่ได้รังเกียจจิ่งเสี่ยวหย่าเลย ดูเหมือนทั้งสองคนสนิทกันด้วย ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด คงจัดงานแต่งงานจริง”
จิ่งหนิงนิ่งเงียบสักพัก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไร
“คุณชายกู้…..เขารู้เรื่องอดีตของจิ่งเสี่ยวหย่าไหมค่ะ?”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าเล็กน้อย “รู้ แต่สำหรับเขาแล้ว ใครต่างล้วนมีอดีตไม่ใช่หรอ ดังนั้นเขาเลยไม่สนใจ แต่สนใจเพียงอนาคตของเขากับจิ่งเสี่ยวหย่าเท่านั้น เหมือนกับพบความรักที่แท้จริงอย่างนั้น”
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินประโยค”ความรักที่แท้จริง”ก็รู้สึกอยากร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน และไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
“คุณชายของตระกูลกู้แต่งงานกับแม่หม้ายยังพอรับได้ แต่ประเด็นคือชื่อเสียงของแม่หม้ายคนนี้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ แล้วคนของตระกูลกู้จะรับได้หรอ?”
ลู่จิ่งเซินหัวเราะประชดขึ้น
“ตระกูลกู้ไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่เป็นลูกชาย ยิ่งไปกว่านั้นคุณท่านตระกูลกวนยังมอบหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของกู้ซื่อกรุ๊ปเป็นค่าสินสอดด้วย อย่าว่าแต่ตระกูลกู้เลย ดังนั้นในเมืองหลวง ไม่ว่าผู้ชายคนไหนต่างรู้สึกหวั่นไหว”
จิ่งหนิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
“อ๋อ? งั้นคุณก็รู้สึกหวั่นไหวเหมือนกันสิ?”
กู้จิงเซินนิ่งอึ้งชั่วขณะ
แล้วเวยหน้าจ้องมองเธออย่างจริงจังขึ้น
จากนั้นก็ยิ้มแย้ม และยื่นมือจับมือของเธอ “ผมหวั่นไหวเพียงแค่คุณคนเดียว”
จิ่งหนิง : “…….”
รู้อยู่แล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่จริงใจ!
เธอมองบนใส่เขาหนึ่งที แล้วดึงมือกลับมา “เอาล่ะ พูดจริงจังหน่อย จากที่คุณพูด การแต่งงานตระกูลกวนกับตระกูลกู้เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กันหรอ? คิดไม่ถึงว่าคุณท่านตระกูลกวนจะยอมมอบหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์เป็นของขวัญแต่งงาน แล้วตระกูลกวนคนอื่นไม่มีใครคัดค้านหรอ?”
ลู่จิ่งเซินครุ่นคิดสักพัก และส่ายหน้า “พวกเขาตามหาหลานสาวพบ ดังนั้นหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์เป็นของกวนจี้หวั่นในตอนนั้น ในเมื่อกวนจี้หวั่นไม่อยู่แล้ว หุ้นนี้ก็ต้องตกเป็นของลูกสาวเธอ แต่น่าเสียดาย ตระกูลกวนคิดว่านี่เป็นหลานสาวที่แท้จริง ทั้งที่จริงแล้วเป็นตัวปลอม
ในตอนนี้คุณท่านยังมีชีวิตอยู่ เรื่องหุ้นตัวเองสามารถพูดได้ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากเขาไม่อยู่ หุ้นนี้จะตกไปอยู่ในมือของใคร ในตอนนั้นเกรงว่าคงเกิดการแย่งชิงกันอย่างดุเดือดแน่ สรุปตระกูลกวนคือบ่อโคลน และการที่ตระกูลกู้เข้ามาแบบนี้ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องดี”
จิ่วหนิงเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งสองคนพูดคุยกันจนกระทั่งถึงเที่ยงคืน จึงจะกลับห้องไปพักผ่อน
อีกด้านหนึ่ง ณ คฤหาสน์ตระกูลกวน
คุณท่านเพิ่งพ้นขีดอันตราย ทุกคนในบ้านต่างพากันโล่งอก
หลังจากผ่านการตรวจอย่างละเอียดจากหมอ และยืนยันว่าคุณท่านพ้นขีดอันตรายชั่วคราว ทุกคนก็ต่างพากันวางใจ
ทรมานมาครึ่งคืน ทุกคนต่างรู้สึกเหนื่อยล้า หลังจากเยี่ยมคุณท่านเสร็จก็พากันกลับไปพักผ่อน
แน่นอนว่าหมอต้องอยู่ดูแลคุณท่านต่อ แต่นอกจากหมอ คุณท่านยังสั่งให้จิ่งเสี่ยวหย่าอยู่ต่อด้วย
“เสี่ยวหย่า มา มานั่งข้างๆตาหน่อย”
คุณท่านตระกูลกวนนอนพิงอยู่บนเตียง แล้วควักมือเรียกจิ่งเสี่ยวหย่า จากนั้นจิ่วเสี่ยวหย่าก็รีบเดินเข้ามาทันที
“คุณตา เป็นยังไงบ้างค่ะ? ยังไม่สบายตรงไหนอีกไหมค่ะ?”
คุณท่านกวนโบกมือเล็กน้อย
“ฉันไม่เป็นอะไร คนแก่ก็แบบนี้แหละ อีกอย่างรักษายังไงก็เหมือนเดิม แต่ยังพอสามารถยื้อเวลาต่อได้อยู่ ฉันรู้อาการของตัวเองดี”
เมื่อจิ่งเสี่ยวหย่าได้ยินแบบนี้ก็ดวงตาแดงก่ำ
“คุณตา อย่าพูดแบบนี้ค่ะ คุณตาเป็นคนดี ต้องมีอายุยืนยาว”
คุณท่านกวนหัวเราะเบาๆ
“เด็กโง่”
ถึงแม้หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สุขภาพของคุณท่านตระกูลกวนยังคงอ่อนแออยู่ แม้แต่น้ำเสียงยังแฝงความเหนื่อยล้า
เขายื่นมือลูบหัวของจิ่งเสี่ยวหย่า และพูดขึ้นว่า : “ตามีอายุยืนยาวหรือเปล่าไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญคือเธอ เสี่ยวหย่า เธอวางแผนอนาคตยังไงหรอ?”
เมื่อจิ่งเสี่ยวหย่าได้ยินแบบนี้ก็เผยสายตามึนงงขึ้น
“คือหนู….หนูต้องการแค่อยู่ดูแลคุณตาก็เพียงพอแล้วค่ะ”
คุณท่านตระกูลกวนหัวเราะเบาๆ “อยู่ดูแลฉันทำไม? ก็บอกแล้วว่าอาการของฉันคงอยู่ได้ไม่นาน และต่อให้ฉันไม่อยู่แล้ว เธอก็ยังมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
เมื่อจิ่งเสี่ยวหย่าได้ยินแบบนี้น้ำตาก็ไหลพรากออกมา
คุณท่านตระกูลกวนนิ่งเงียบ พร้อมถอนหายใจเล็กน้อย
เด็กคนนี้ช่างจิตใจดีจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อก่อนลำบากมากแค่ไหน จึงเปลี่ยนเป็นคนอ่อนไหวแบบนี้
เขาถอนหายใจ และเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง
“เสี่ยวหย่า คุณชายของตระกูลกู้ที่มาคืนนี้ เธอรู้สึกยังไงบ้าง?”
จิ่งเสี่ยวหย่านิ่งอึ้งชั่วขณะ
พร้อมจ้องมองเขาด้วยสายตาใสบริสุทธิ์ ราวกับไม่เข้าใจความหมายของเขา
คุณท่านหรี่ตาเล็กน้อย และยิ้มอย่างมีเมตตา : “ตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ซึ่งเหมือนกับตระกูลของเรา และมีประวัติความเป็นมาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้วด้วย ตอนที่คุณท่านของตระกูลพวกเขายังอยู่ เขาเป็นเพื่อนสนิทของตาคนหนึ่งเลย อีกอย่างคุณชายกู้คนนั้นนิสัยดี สุภาพ จริงใจ ไม่เหมือนกับคุณชายคนอื่นที่ใจชู้หลายใจ หากหนูยินยอมจะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแน่ ตาเองก็จะได้วางใจ หนูคิดว่ายังไง?”
จิ่งเสี่ยวหย่าหน้าแดงก่ำทันที แล้วก้มหน้าลงข้างล่างจนเกือบจะมุดดินแล้ว
“หนู หนูไม่รู้ค่ะ”
คุณท่านตระกูลกวนหัวเราะฮ่าฮ่าดังขึ้น
“ไม่ต้องอาย เรื่องแต่งงานของชายหญิงถือเป็นเรื่องปกติ!”
จิ่งเสี่ยวหย่าฝืนยิ้มขึ้น
“คุณตาค่ะ หนูยังไม่อยากแต่งงานค่ะ”
คุณท่านนิ่งอึ้ง พร้อมขมวดคิ้วขึ้น
“ทำไมล่ะ? เสี่ยวหย่าไม่ชอบเขาหรอ? หรือว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว?”
จิ่งเสี่ยวหย่าส่ายมืออย่างรีบร้อน “เปล่าค่ะ คือหนู หนู…..”
เธอกัดริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำ พร้อมเผยท่าทางน่าเอ็นดูและน่าสงสาร จนทำให้คนเห็นรู้สึกอยากจะปกป้อง
เมื่อคุณท่านกวนเห็นแบบนี้ก็ทนดูไม่ได้ รีบซักถามว่า : “แล้วหนูคิดจะเอายังไงต่อหรอ?”