บทที่ 342 งานเลี้ยงวันเกิดของตระกูลกวน
วันรุ่งขึ้นจู่ ๆ นายท่านใหญ่กวนก็ประกาศว่า จะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ตัวเองล่วงหน้า
ปีนี้อายุของนายท่านใหญ่กวนก็ย่างเข้าสู่ปีที่เจ็ดสิบหก แม้ว่าจะไม่ครบเจ็ดสิบหกปีเต็ม แต่เมื่ออายุปูนนี้แล้ว ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี ที่ยังสามารถอยู่ฉลองวันเกิดได้ทุกปี
นอกจากนี้เขากำลังป่วยหนัก หากสามารถจัดงานเลี้ยงวันเกิดได้ในเวลานี้ ก็ถือเป็นเคล็ดในการจัดงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไรได้ ดังนั้นคนในตระกูลกวนจึงไม่ได้คัดค้านอะไร
จิ่งหนิงได้รับข่าว เมื่อบ่ายของวันรุ่งขึ้น
เมื่อมองไปยังบัตรเชิญตรงหน้า เธอก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นายท่านใหญ่กวนก็ดูไม่เหมือนคนที่ถือเคล็ดการจัดงานมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไรพวกนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นผู้เสนอความคิดนี้ด้วยตัวเอง ใครก็ตามที่เคยป่วยจะรู้ดีว่า เวลาที่ตนเองรู้สึกไม่สบาย ก็ต้องอยากพักผ่อนเงียบๆ แทบไม่มีผู้ป่วยคนไหนที่จะลุกขึ้นมาจัดงานเลี้ยงสังสรรค์แบบนี้
แต่คำเชิญก็ได้ถูกส่งออกมาแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นัดก็ต้องเป็นนัด
งานเลี้ยงวันเกิดถูกจัดขึ้นในตอนเย็นของวันหยุดสุดสัปดาห์ และสถานที่จัดงานคือบ้านเก่าของตระกูลกวน
แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงวันเกิด แต่แขกที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานกลับมีไม่มากนัก นอกจากสมาชิกของสี่ตระกูลใหญ่แล้ว ก็ยังมีบางตระกูลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวงมาร่วมงาน
ในวันนี้ จิ่งหนิงมาถึงเร็วเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ อานอานไม่ต้องไปโรงเรียน ดังนั้นเธอจึงพาอานอานมาด้วย
บริษัทของลู่จิ่งเซินมีปัญหา คงมาถึงสายหน่อย
ตรงกันข้ามนายท่านใหญ่ลู่และนายหญิงหชินกลับมาถึงหลังจากเธอได้เพียงไม่นาน
พวกเขาเป็นเพื่อนกันมานานหลายสิบปี แม้ว่านายท่านใหญ่ลู่จะไม่ค่อยออกมาข้างนอก เพราะสุขภาพที่ไม่ค่อยดี ปกติถ้ามีเรื่องอะไร เขามักจะส่งลู่จิ่งเซินมาแทน
แต่วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิด เขาจึงต้องมาร่วมงานด้วยตัวเอง
บ้านเก่าของตระกูลกวนดูคึกคักเป็นอย่างมาก มีผู้คนมากมายมาร่วมให้ของขวัญและแสดงความยินดี
จิ่งหนิงพาอานอานไปอวยพรวันเกิดให้กับนายท่านใหญ่กวนก่อน จากนั้นก็เดินไปยังด้านหลังของห้องอาหาร รอนายท่านใหญ่ลู่และคุณนายใหญ่ทั้งสอง
แต่ยังไม่ทันที่จะได้รอนายท่านใหญ่ลู่และคุณนายใหญ่ กวนเยว่หวั่นและจี้หยุนซูก็ปรากฏตัวขึ้น
หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ของกวนเยว่หวั่นและจี้หยุนซู ทั้งสองก็ได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองตระกูล ให้จัดพิธีหมั้นได้
ตอนนี้ก็รอแค่สิ้นปีเท่านั้น คาดว่างานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ
จิ่งหนิงยินดีไปกับพวกเขาด้วย เธอลากพวกเขามาคุยกันสักพัก
จี้หยุนซูยิ้มและพูดขึ้นว่า:“ตอนที่ผมเข้ามา ผมเห็นพี่ชายสองและลุงลู่แล้ว ข้างนอกมีคนเยอะมาก พวกเขาติดอยู่กับคนพวกนั้น คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้ามาได้”
จิ่งหนิงพยักหน้า เธอรู้ว่า เมื่อบุคคลอย่างลู่จิ่งเซินและนายท่านใหญ่ลู่ มาร่วมงานเลี้ยงรวมตัวแบบนี้ เป็นเรื่องปกที่คนจำนวนมากอยากเข้าไปทักทายเพื่อสร้างความสัมพันธ์
แม้ว่าตระกูลลู่จะไม่ได้คลุกคลีคนเหล่านี้ แต่ในทางธุรกิจ พวกเขาก็ยังต้องให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้อยู่
ดังนั้น เกรงว่าคนที่ยุ่งที่สุดในคืนนี้จะไม่ใช่แค่นายท่านใหญ่กวนคนเดียวแล้ว แต่ยังต้องนับรวมไปถึงผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่คนอื่นๆ อีกด้วย
จิ่งหนิงมองไปที่กวนเยว่หวั่น เธอยิ้มและพูดขึ้น:“พวกคุณจะแต่งงานเมื่อไหร่?”
กวนเยว่หวั่นพูดอย่างนุ่มนวล:“สิ้นปีค่ะ ตอนนี้งานในสถาบันวิจัยยุ่งมาก แทบจะไม่มีเวลาว่าง พวกเราปรึกษากันแล้ว รอให้โครงการวิจัยที่ดูแลเสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยจัดงานแต่งในช่วงปลายปีค่ะ”
จิ่งหนิงยิ้มและกล่าวว่า “งั้นฉันก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับพวกคุณทั้งสองคนนะ”
กวนเยว่หวั่นยิ้มอย่างขวยเขิน
จี้หยุนซูมองไปยังทางเข้า ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ:“ผมได้ยินมาว่า ที่นายท่านใหญ่กวนจัดงานเลี้ยงวันเกิดล่วงหน้าในครั้งนี้ ไม่ใช่จัดเพื่อฉลองวันเกิดของเขาเท่านั้น แต่เกรงว่าจะเป็นการจัดเพื่อประกาศตัวอย่างเป็นทางการให้กับจิ่งเสี่ยวหย่า”
จิ่งหนิงผงะ
“ประกาศตัวอย่างเป็นทางการ?หมายความว่าอย่างไร?”
จี้หยุนซูอธิบายว่า: “หลังจากลูกของกวนจี้หวั่นหายตัวไปในปีนั้น เรื่องนี้ก็เป็นข่าวใหญ่ในเมืองหลวง กวนจี้หวั่นพยายามทุกวิถีทาง เพื่อหาลูกของเธอให้พบ แต่สุดท้ายก็ไม่มีผล เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น เรื่องนี้ก็จบลงอย่างค้างคา
แต่ถึงอย่างไร ก็มีหลายคนที่รู้เรื่องของเด็กคนนี้ จิ่งเสี่ยวหย่ากลับมาในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะกลับมาในฐานะของคุณหนูตระกูลกวน อันที่จริงมีคนภายนอกเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ ในตระกูลเธอก็ไม่มีสถานะอะไร
นายท่านใหญ่กวนคงรู้สึกว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มาก ดังนั้น เขาจึงต้องการใช้โอกาสนี้ ในการประกาศตัวตนของเธอต่อสาธารณชน ด้วยวิธีนี้ ทุกคนในเมืองหลวงจะได้รู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของกวนจี้หวั่น หากคนตระกูลกวนกลั่นแกล้งหรือปฏิบัติต่อเธอไม่ดี จะต้องถูกคนครหาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น เขาจึงคิดที่จะใช้ชื่อเสียงของตนเอง ช่วยให้เธอมีหน้ามีตาในสังคมบ้าง”
จิ่งหนิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
เธอคิดอย่างถี่ถ้วน พบว่าก็จริงอย่างที่จี้หยุนซูพูดมาทั้งหมด ถ้าเขาไม่พูดออกมา เธอเองคงคิดไม่ถึงขั้นนี้
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เธอก็ขมวดคิ้วมุ่น ความกังวลฉายผ่านดวงตาของเธอ
นายท่านใหญ่กวนจัดการทุกอย่างโดยไม่ไตร่ตรอง และจัดการวางแผนให้จิ่งเสี่ยวหย่าแบบนี้แล้ว ถ้าเขารู้ว่าจิ่งเสี่ยวหย่าไม่ใช่หลานสาวที่แท้จริงของเขา แต่เป็นเพียงตัวปลอม ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร?
ดวงตาของกวนเยว่หวั่นฉายแววสงสัย
เธอมองไปยังจิ่งหนิงด้วยแววตาซับซ้อน
“หนิงหนิง คุณ…รู้ว่า จิ่งเสี่ยวหย่าไม่ใช่หลานสาวที่แท้จริงของตระกูลกวน ใช่ไหมคะ?”
จิ่งหนิงชะงักไปครู่หนึ่ง พอรู้สึกตัว เธอก็มองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครได้ยินเธอที่เธอพูด เธอจึงพยักหน้า
“ฉันรู้ภูมิหลังของจิ่งเสี่ยวหย่าดีกว่าใครๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของตระกูลกวน ฉันถือเป็นคนนอก พูดอะไรมากก็คงไม่ดี และแม้ว่าจะพูดความจริงออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสียต่อนายท่านใหญ่ ดังนั้นไม่พูดอะไรเลยจะดีกว่า”
กวนเยว่หวั่นพยักหน้า
เธอลดสายตาลงเล็กน้อย ดวงตาของเธอทอดไปยังลำคอของจิ่งหนิง
กลับเห็นสร้อยเพรชอันแสนประณีตประดับอยู่รอบลำระหงคอของเธอ แทนที่จะเป็นสร้อยคอเส้นก่อนหน้านี้
ทันใดนั้น สีหน้าของกวนเยว่หวั่นก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“หนิงหนิง สร้อยของคุณอยู่ไหน?”
จิ่งหนิงผงะ เธอก้มลงมองที่คอของเธอ และมองไปที่กวนเยว่หวั่นด้วยความสงสัย
“สร้อยคอ?สร้อยอะไร?ก็ใส่อยู่นี่ไม่ใช่เหรอ?”
เธอพูดพลางจับสร้อยเพรชที่ลำคอของเธอไปด้วย
กวนเยว่หวั่นวิตก
“ไม่ใช่เส้นนี้ ฉันหมายถึงสร้อยทับทิมธรรมดา ที่คุณเคยใส่เมื่อก่อนหน้านี้”
จิ่งหนิงตอบกลับ “อ้อ สร้อยเส้นนั้น ฉันวางไว้ที่บ้าน วันนี้ไม่… ”
จิ่งหนิงหยุดไปชั่วครู่
เธอมองไปยังกวนเยว่หวั่นด้วยความตกใจ
กวนเยว่หวั่นดูเหมือนจะตระหนักขึ้นได้ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป ดวงตาของเธอฉายแววร้อนรน
ทันใดนั้น จิ่งหนิงก็มีสีหน้าจริงจังขึ้น
จี้หยุนซูไม่ได้สังเกตเครื่องประดับบนร่างกายของจิ่งหนิงมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าพวกเธอกำลังพูดถึงอะไร
รู้สึกได้ว่าบรรยากาศเริ่มแปลกไป เขามองไปยังหญิงสาวทั้งสอง แล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย:“พวกคุณคุยอะไรกัน?มีอะไรเหรอ?”
กวนเยว่หวั่นยิ้มแห้ง“ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
จิ่งหนิงมองไปที่เธออย่างบีบคั้น ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยคำถามและความเย็นชา
“กวนเยว่หวั่น คุณรู้ได้อย่างไร ว่าสร้อยคอที่ฉันเคยใส่ก่อนหน้านี้ เป็นจี้ทับทิม?”