บทที่ 345 เหลือแค่เธอแล้ว
กวนจี้หลี่มองเธออย่างเย็นชา สีหน้าของเขาเคร่งเครียด
“เธอคิดว่าพูดแบบนี้แล้ว ฉันจะเชื่อที่เธอพูดเหรอ?แค่คำว่าขอโทษคำเดียวจะสามารถชดเชยความผิดของเธอที่มีต่อจิ่งหนิงได้เหรอ?
ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้ว ว่าให้ซื่อสัตย์หน่อย และอย่าสร้างปัญหาให้ฉัน นี่คำพูดของฉันมันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเธอหรืออย่างไร? ”
จิ่งเสี่ยวหย่าถูกตำหนิอย่างแรง ไม่ว่าเธอจะอารมณ์ดีสักแค่ไหนก็ไม่สามารถระงับไฟโทสะที่คุกรุ่นอยู่ได้
เธอกัดริมฝีปาก และสวนขึ้นอย่างดื้อดึง:“ถ้าฉันทำให้เธอขุ่นเคือง แล้วเธอจะทำอะไรฉันได้?ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะกล้าเสี่ยงทำให้นายท่านใหญ่ล้มป่วยอีกครั้งหรอก นี่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น! แต่ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นจริง และนั่นทำให้นายท่านใหญ่เกิดล้มป่วยจนเสียชีวิต เธอก็จะกลายเป็นคนบาปของตระกูลกวน เมื่อถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ตระกูลกวน นายท่านใหญ่แห่งตระกูลลู่ก็จะเกิดข้อกังขากับเธอเช่นกัน”
กวนจี้หลี่ไม่คิดว่าเธอจะพูดเช่นนี้ เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เขามองไปที่เธออีกครั้งอย่างระมัดระวัง
“ฉันเตือนไว้ก่อน อย่าคิดว่าคุณพ่อประคบประหงมเธอแล้ว จะทำอะไรตามอำเภอใจได้ ประเด็นของพวกเราไม่ได้อยู่ที่จิ่งหนิง ถ้าเธอใช้ความบาดหมางของเธอ มาทำให้เสียเรื่องแล้วล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันปล่อยเธอไว้แน่”
เมื่อจิ่งเสี่ยวหย่าได้ยินดังนั้น ก็เกิดอาการสั่นเทาเล็กน้อย
เธอพยายามทำสีหน้าปกติ และเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น:“คุณลุง คุณไม่ต้องกังวลไป ฉันไม่ทำให้เสียเรื่องหรอกค่ะ แต่ฉันรู้สึกกังวลใจอยู่นิดหน่อยว่า บางทีอาจมีคนที่อิจฉาฉัน วิ่งไปบอกอะไรบางอย่างกับคุณตา หนึ่งคนฉันไม่กลัวหรอก แต่ถ้ามากเข้า คุณตาจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นฉันควรทำอย่างไรดี? ”
กวนจี้หลี่มองไปที่เธอ และหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา
“เธอจะกลัวอะไร? อย่างแย่ที่สุดเธอก็จะถูกพาไปตรวจดีเอ็นเอ เธอก็มีสายเลือดของตระกูลกวนอยู่แล้วนี่ ยังต้องกลัวอะไรอีก? เธอว่าจริงไหม?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ สายตาคู่นั้นเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ส่งผลให้จิ่งเสี่ยวหย่ารู้สึกหนาวสั่นอย่างห้ามไม่ได้
เธอรีบลดศีรษะลง และพูดขึ้นอย่างนอบน้อม:“ค่ะ ฉันทราบดี”
กวนจี้หลี่จึงหมุนตัวจากไป
จิ่งเสี่ยวหย่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอลูบผมของเธอ และกำลังจะเดินกลับไปยังสวนดอกไม้
ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น
เธอผงะไปเล็กน้อย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างมาก
“นั่นใคร?”
ด้านหน้ามืดสนิท แสงจันทร์และแสงไฟที่ส่องกระทบดอกไม้และต้นไม้สองสามต้นตรงมุมกำแพง ในความมืดสลัว
เกิดเป็นเงาสะท้อนลงบนด้านหลังเสาหินอ่อนของทางเดิน เงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงร้องของอีกา
หัวใจของจิ่งเสี่ยวหย่าเต้นระส่ำ
สีหน้าของเธอซีดลงเล็กน้อย เธอมองดูรอบตัว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ จากนั้นจึงเดินไปทางต้นเสียงอย่างระมัดระวัง
เมื่อเดินมาถึง เธอกลับไม่พบใครอยู่ใต้ต้นไม้นั้น
แม้ว่ามันจะเป็นต้นไม้สูงระดับตัวคน แต่พุ่มไม้กลับหนาทึบ กิ่งก้านด้านล่างก็สูงไม่เกินเอว ถ้าคนปกติต้องการซ่อนตัวที่นี่ จะต้องคลานอยู่กับพื้นเท่านั้น ไม่สามารถหนีไปเร็วขนาดนี้ได้
หรือว่าเธออาจจะคิดไปเอง?
จิ่งเสี่ยวหย่าลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอคิดว่าอาจจะเป็นเสียงของแมวป่าละแวกนี้ที่บ้านอื่นเลี้ยงเอาไว้ หรืออาจเสียงลมพัดก้อนหินหล่นลงมาจากกระถางดอกไม้ก็ได้!
เธอผ่อนคลายลง และเมื่อกำลังจะเดินออกไปนั้น เท้าของเธอก็ไปสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่าง
จิ่งเสี่ยวหย่าชะงักไปเล็กน้อย เธอก้าวถอยหลัง และสังเกตเห็นกิ๊บติดผมเป๊ปป้าพิกสีชมพูอยู่บนพื้นหญ้า
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย และก้มตัวลงไปหยิบกิ๊บนั้นขึ้นมา
ไม่มีน้ำค้างบนกิ๊บ และยังมีความอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายของคนอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีใครทำกิ๊บนี้เพิ่งหล่นไว้ที่นี่เมื่อไม่นานมานี้
มีเพียงเด็กอายุไม่กี่ขวบเท่านั้นที่จะติดกิ๊บแบบนี้ ตระกูลกวนไม่มีเด็กผู้หญิงแบบนี้ ในบรรดาแขกที่มาในวันนี้ ก็ไม่เห็นจะมีใครพาเด็กมาด้วย
ยกเว้นเธอ…
ดวงตาของจิ่งเสี่ยวหย่าเย็นยะเยือกขึ้นในทันใด
…
จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินพูดคุยอยู่กับเฟิงยี่ได้สักพัก จากนั้นก็ปลีกตัวออกจากสวนด้านหลัง ไปหานายท่านใหญ่ลู่และคุณนายใหญ่ที่ด้านหน้างาน
นายท่านใหญ่และคุณนายใหญ่ทั้งคู่อายุมากแล้ว และไม่ชอบความวุ่นวายของคนหนุ่มสาว ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งคุยอยู่กับนายท่านใหญ่กวนในห้องรับรอง
และยังมีกู้ฉางไห่กับคุณนายใหญ่แห่งตระกูลเฟิงนั่งคุยอยู่ด้วย
ระหว่างทางที่จิ่งหนิงกำลังเดินไปอยู่นั้น เธอก็เห็นอานอานกำลังเดินจับมือกับคนรับใช้ กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องรับรอง
จิ่งหนิงเรียกเธอ อานอานหันกลับมา พร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย
“หม่ามี้ แดดดี้!”
เธอสลัดมือออกจากคนรับใช้ และพุ่งเข้าไปหาจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซิน
ตอนนี้อานอานสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย สภาพร่างกายของเธอดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเธอจึงมีแรงเยอะกว่าแต่ก่อนมาก
ลู่จิ่งเซินเห็นว่าวันนี้จิ่งหนิงสวมรองเท้าส้นสูง เขากลัวว่าเธอจะถูกอานอานชนจนล้ม ดังนั้นเขาจึงก้าวขึ้นไปด้านหน้า เพื่ออุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ก่อน
อานอานไม่ได้โวยวายอะไร เธอกอดคอของลู่จิ่งเซินไว้ และร้องขึ้นอย่างมีความสุข “หม่ามี้ แดดดี้ไปไหนมาคะ?ทั้งเย็นนี้หนูไม่เห็นแดดดี้กับหม่ามี้เลย”
จิ่งหนิงยิ้ม “หม่ามี้กับแดดดี้ ไปคุยกับน้าเหยาเหยาของหนูและคนอื่นๆอยู่ตรงนู้น ทำไมอานอานถึงมาอยู่ข้างนอกคนเดียวได้ล่ะคะ?ไม่ได้อยู่กับคุณย่าทวดกับคุณปู่ทวดหรอกเหรอ?”
อานอานย่นจมูกเล็กน้อย และพูดอย่างไม่พอใจ:“ย่าทวดกับปู่ทวดมัวแต่คุยกัน ไม่สนุกเลยสักนิด อานอานไม่อยากเล่นด้วย”
จิ่งหนิงอดขำไม่ได้
คนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ เธออธิบายว่า:“คุณหนูอานอานอยากเข้าห้องน้ำ คุณนายใหญ่เลยบอกให้ฉันพาคุณหนูออกมาค่ะ เพิ่งจะเข้าห้องน้ำเสร็จ กำลังจะกลับไป! ก็เห็นพวกคุณทั้งสองกำลังเดินมาทางนี้พอดี”
จิ่งหนิงพยักหน้า เธอพูดกับลู่จิ่งเซิน“พวกเราเข้าไปกันเถอะค่ะ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า ทั้งสองคนเดินไปยังห้องรับรองพร้อมกับเด็กน้อยในอ้อมกอด
การพูดคุยในห้องรับรองเป็นไปอย่างคึกคัก เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา นายท่านใหญ่กวนจึงทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“เด็กหนุ่มตระกูลลู่และสะใภ้ตระกูลลู่ก็มาที่นี่ด้วย นั่งก่อนๆ”
จิ่งหนิงนั่งลงพร้อมกับลู่จิ่งเซิน โดยมีกู้เล็กและกู้เล็กนั่งอยู่ตรงข้าม ตำแหน่งของพวกเขาอยู่ใกล้กับนายท่านใหญ่กวนมาก นั่นทำให้เธอเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ทุกคนมาที่นี่ในวันนี้ ทำให้ฉันรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของเราไม่ได้รวมตัวกันเหมือนวันนี้มานานแล้ว”
นายท่านใหญ่กวนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“สุขภาพของฉันไม่ค่อยดีนัก โชคดีที่ไม่กี่ปีมานี้ตระกูลกวนได้รับการดูแลจากตระกูลทั้งสาม อันที่จริงในใจของฉันรู้ดีว่า ลูกหลานไม่เอาไหนของฉันพวกนั้น นอกเสียจากหาเรื่องเที่ยวสนุกสนานไปวันๆ และหาเรื่องทะเลาะกันเองแล้ว ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง
แต่จะว่าไปพวกเขาก็คงมีทางรอดของพวกเขาเอง ฉันอายุมากแล้ว ฉันดูแลพวกเขาได้ไม่ไหวหรอก และฉันก็ไม่อยากดูแลแล้วด้วย อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเขาแล้วกัน! หากผู้อาวุโสทุกท่านในที่นี้ไม่สามารถทนดูต่อไปได้ ก็สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ได้ วิญญาณของตาเฒ่ากวนคนนี้จะได้พักผ่อนอย่างสงบ”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างนิ่วหน้าเมื่อนายท่านใหญ่พูดจบ
ไม่ใช่เพราะคำพูดตรงไปตรงมาของนายท่านใหญ่ แต่เป็นเพราะงานเลี้ยงมงคลเช่นวันนี้ เขากลับพูดถึงความเป็นความตาย รังแต่จะทำให้เสียบรรยากาศ
ลักษณะแบบนี้ ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงวันเกิดแม้แต่น้อย แต่เหมือนกับงานเลี้ยงสั่งเสียเสียมากกว่า
ใบหน้าที่เศร้าหมองที่สุดในหมู่พวกเขา แน่นอนคือ กวนจี้หลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังนายท่านใหญ่
จิ่งหนิงลดสายตาลงเล็กน้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“คุณปู่กวนพูดไม่ถูกเสียทีเดียวนะคะ ฉันค่อยไม่รู้จักคนอื่นๆ ในตระกูลกวน ดังนั้นฉันจึงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ฉันรู้จักลุงกวนที่สอง ว่ากันว่าเขาเป็นคนที่โดดเด่นมาก อย่าว่าแต่คนรุ่นเดียวกันเลย แม้แต่ในคนรุ่นใหม่ ก็ไม่มีใครเทียบเขาได้ คุณปู่กวนอย่าได้ดูถูกตัวเองเลยค่ะ”