บทที่ 346 อานอานจมน้ำ
คำพูดของจิ่งหนิง ทำให้นายท่านใหญ่หัวเราะอย่างมีความสุข
“สะใภ้ของตระกูลลู่พูดแบบนี้ แสดงว่าหลานไม่รู้จักลุงกวนที่สองดีพอ ถ้าหลานรู้จักเขามากขึ้นอีกสักหน่อย หลานจะรู้ว่าความสำเร็จทั้งหมดของเขาก็ได้มาจากคนรุ่นก่อนๆ ทั้งนั้น เรื่องอื่นก็ฝากความหวังไว้ไม่ได้”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของนายท่านใหญ่ เจือไปด้วยความถ่อมตัว ไม่มีส่วนจริงแม่แต่น้อย ทำให้กลุ่มคนทั้งหมดหัวเราะขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
“นายท่านใหญ่กวนพูดเป็นเล่น ถ้าท่านกวนที่สองรับช่วงต่อความสำเร็จมาจากคนรุ่นก่อนแล้ว พวกเราก็คงยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียกได้ว่ารับช่วงต่อความสำเร็จมาจากคนรุ่นก่อนเลยน่ะสิ?”
“ถูกต้อง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ความสำเร็จของกวนซื่อกรุ๊ปล้วนประจักษ์ต่อสายตาของพวกเราแล้ว มีท่านกวนสองอยู่ นายท่านใหญ่ควรจะโล่งใจถึงจะถูก”
ทุกคนหยอกล้อกันไปมาอย่างสุภาพ แม้ว่ากวนจี้หมิงจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ในสายตาของคนเหล่านี้ กลับให้ความสำคัญแก่เขาในฐานะหัวหน้าของตระกูลกวน
ขณะเดียวกันนั้น กวนจี้หลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของนายท่านใหญ่กวน กลับมีสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเขา แต่ผู้คนที่อยู่ในห้องนี้ ต่างก็เป็นปลาใหญ่ที่กินปลาตัวเล็กทั้งกันนั้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกคนต่างรู้ดีว่าหนึ่งในพี่น้องทั้งสองคนนี้ นายกวนชอบคนไหนมากกว่ากัน
ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่กวนจี้หมิงเข้ามาบริหารบริษัท เขาไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนกวนซื่อกรุ๊ปที่กำลังประสบปัญหาขาดทุนให้มีผลกำไรได้ แต่ยังสามารถเพิ่มผลกำไรประจำปีได้อย่างก้าวกระโดดอีกด้วย
หากในอนาคตตระกูลกวนต้องการที่จะตีตลาดเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ค้าชั้นนำ นี่ก็ถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก
ในทางกลับกัน เมื่อมองไปที่กวนจี้หลี่ เนื่องจากเขาเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย ต่อมาเขาได้รับบาดเจ็บและถูกปลดประจำการ ตอนนี้เขาทำงานให้กับทางรัฐบาล
เขามีเส้นสายมากมาย แต่ตระกูลกวนตระหนักดีถึงความอันตรายในเรื่องของการเมือง และ กวนจี้หลี่ก็ไม่มีความสามารถที่จะยกระดับของตระกูลขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งได้ ดังนั้น การทำธุรกิจจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่ากวนจี้หลี่ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเมืองเป็นเวลานาน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องธุรกิจเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนภายนอก เขาจึงดูด้อยกว่าน้องชายของเขากวนจี้หมิงอยู่มากโข
ทุกคนรู้ดีว่า พี่น้องทั้งสองต่างกันมาก และสุขภาพของนายท่านใหญ่ก็แย่ลงไปทุกวัน ไม่รู้ว่าเขาจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่
ในเวลานี้ กวนจี้หมิงจึงถูกยกขึ้นมาก่อน
แน่นอนว่า มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจดีโดยที่ไม่ต้องพูดออกมา
นั่นก็คือ หลานสาวที่นายท่านใหญ่เฝ้าตามหาและให้ความสำคัญอยู่ตอนนี้ เธอถูกนำตัวกลับมาโดยกวนจี้หมิง
ดูเหมือนว่า ไม่ว่าหลานสาวคนนี้จะมีสายเลือดตระกูลกวนอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่ในสายตาของนายท่านใหญ่ เธอคือหลานสาวแท้ๆ ของเขา
และเนื่องจากกวนจี้หมิงเป็นคนนำตัวเธอกลับมา เธอจึงอยู่ฝ่ายกวนจี้หมิงโดยไม่ต้องสงสัย และเมื่อถึงเวลาที่นายท่านใหญ่จากโลกนี้ไป เธอจะต้องได้รับส่วนแบ่งจากมรดกที่เขาทิ้งไว้ให้อย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น หากเธอและกวนจี้หมิงร่วมมือกัน กวนจี้หลี่ที่เหลือตัวคนเดียว คงไม่ใช่คู่แข่งของพวกเขาอีกต่อไป
ความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ระหว่างคนในครอบครัวเดียวกันในหมู่ตระกูลคนรวยเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ตลอด ทุกคนรู้ดีว่า ในอนาคตจะต้องเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น และคนที่ต้องพ่ายแพ้ไปนั้น จะต้องได้รับผลอย่างไร
ดังนั้น จะไม่มีใครเห็นอกเห็นใจผู้อ่อนแอ เว้นแต่อีกฝ่ายจะเป็นคนที่สนิทชิดเชื้อกัน นอกเหนือจากนั้น ทุกคนก็ต่างเลือกที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายที่ได้รับชัยชนะกันทั้งนั้น
ห้องรับรองเต็มไปด้วยคำพูดระรื่นหูได้อยู่ครู่หนึ่ง
ไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก จากนั้น จิ่งเสี่ยวหย่าก็เดินเข้ามา
“คุณตาคะ คุณตาเรียกหนู”
เธอคลี่ยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหา ใบหน้าของนายท่านใหญ่กวนปรากฏรอยยิ้มขึ้นทันที เขาโบกมือเรียกเธอ
“ใช่ มานี่สิ มาทำความรู้จักกับคุณปู่ คุณย่า และคุณลุงทุกท่านก่อน”
จิ่งเสี่ยวหย่าก้าวไปข้างหน้าอย่างนอบน้อม เธอกล่าวทักทายทุกคน
กู้ฉางไห่มองเธอด้วยความพึงพอใจ เขายิ้มและพูดขึ้นว่า:“กิริยาของเสี่ยวหย่าช่างงดงามราวกับได้รับการอบรมมาอย่างดี ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้หญิงชั้นสูงในเมืองหลวงพวกนั้นเลย เธอต้องมีกิริยางดงามเช่นนี้มาแต่กำเนิดแน่นอน”
คำพูดเหล่านี้ทำให้นายท่านใหญ่กวนพอใจเป็นอย่างมาก เขาหัวเราะเสียงดัง
ทันใดนั้น จิ่งหนิงก็รู้สึกได้ว่ามีคนข้างตัวเธอกำลังดึงมุมกระโปรงของเธอ
เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย และเห็นอานอานมองเธออย่างลุกลี้ลุกลน สีหน้าของเด็กน้อยดูแปลกไป
หัวใจของจิ่งหนิงพลันกระตุก เธอรีบถามออกไปว่า:“มีอะไรเหรอ?”
อานอานส่ายศีรษะทุยของเธอ
เธอมองไปที่จิ่งเสี่ยวหย่า แววตาของเด็กน้อยดูหม่นหมองลง
แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กระซิบเบาๆ :“หม่ามี้ หนูอยากไปห้องน้ำ”
จิ่งหนิงผงะ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
เธอก้มศีรษะลง แล้วกระซิบว่า “เมื่อกี้หนูก็เพิ่งไปมาไม่ใช่เหรอ?ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?ปวดท้องเหรอ?”
อานอานส่ายศีรษะ
เมื่อเห็นดังนั้น จิ่งหนิงจึงคิดว่ามื้อเย็นเธออาจจะกินอะไรเย็นๆ เข้าไป และทำให้เธอรู้สึกปวดท้อง
เธอจึงบอกลู่จิ่งเซิน และพาอานอานออกไป
ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลจากห้องรับรอง อยู่ระหว่างทางเดินของห้องโถงด้านหน้าและสวนดอกไม้ด้านหลัง
จิ่งหนิงพาอานอานไปยังห้องน้ำ เธอถามให้แน่ใจว่าอานอานไม่ต้องการให้เธอเข้าไปเป็นเพื่อน และปล่อยให้อานอานเข้าไปคนเดียว หลังจากนั้นเธอก็ออกมายืนรออานอานที่ด้านนอก
ในสวนดอกไม้ด้านหลังของบ้านเก่าตระกูลกวน นอกจากน้ำพุแฟนซีแล้ว ยังมีสระว่ายน้ำที่ค่อนข้างใหญ่อีกด้วย
อีกฝั่งหนึ่งของสระว่ายน้ำเชื่อมต่อกับประตูด้านหลังของห้องน้ำ เพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือซักผ้า
ขณะนี้ มีแขกจำนวนมากที่อยู่บริเวณสระว่ายน้ำ
แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็ค่อนข้างหนาว จึงไม่มีใครลงว่ายน้ำ
มีเพียงคนจำนวนหนึ่งที่จับกลุ่มพูดคุย และดื่มแอลกอฮอล์กัน
จิ่งหนิงรออยู่สักพัก อานอานยังไม่ทันจะได้ออกมา ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากทางฝั่งของสระว่ายน้ำ
“อ๊ะ! ลูกของใครกำลังจมน้ำ?”
จิ่งหนิงผงะ เมื่อได้สติ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที
เธอรีบวิ่งไปยังสระว่ายน้ำ
ในเวลานี้ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่สระว่ายน้ำ แต่ทุกคนกลับได้แต่มองอยู่ที่ริมสระ ไม่มีใครคิดที่จะลงไปช่วยเด็กน้อยเลยสักคน
ในสระว่ายน้ำ เด็กสาวในชุดกระโปรงสีชมพู พยายามตะเกียกตะกายอย่างสุดชีวิต ในขณะที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำนั้น เธอก็พยายามเปล่งเสียงที่ขาดห้วงออกมา
“หม่า … หม่า … มี้ … ช่วย … ช่วย … หนู … ”
จิ่งหนิงรีบวิ่งไปที่สระว่ายน้ำ มองปราดเดียว เธอก็รู้ว่าว่าเด็กที่พยายามตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ คืออานอาน
ใบหน้าของเธอซีดเผือด เธอกระโดดลงสระน้ำโดยไม่ต้องคิด
สระว่ายน้ำมีขนาดไม่ใหญ่ และเนื่องจากระยะห่างค่อนข้างใกล้ จิ่งหนิงจึงคว้าอานอานขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
แต่เนื่องจาก อานอานสำลักน้ำเข้าไปจำนวนมาก สภาพร่างกายของเธออยู่ในขั้นวิกฤติ ในตอนนี้คงเป็นเพราะเธอสำลักน้ำเข้าไปมากและบวกกับความตกใจ เมื่อจิ่งหนิงช่วยเด็กน้อยขึ้นมาได้ เธอก็หมดสติไปเสียแล้ว
จิ่งหนิงมองไปที่ดวงหน้าซีดเซียวของเด็กน้อย ดวงตาของเธอเป็นสีแดงก่ำ หัวใจของเธอบีบรัด ราวกับมีมือใหญ่กำลังบีบหัวใจของเธออย่างแรง จนเธอแทบหายใจไม่ออก
จิ่งหนิงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เธอคุกเข่าลงบนพื้น และเริ่มทำซีพีอาร์ให้กับอานอาน
ในขณะที่ทำพีอาร์ เธอตะโกนว่า “อานอาน เข้มแข็งเข้าไว้ ตื่นขึ้นมา รีบลืมตาขึ้นมองหม่ามี้”
แต่ใบหน้าของอานอานยังคงซีดเซียว ตาของเธอปิดแน่น ปากน้อยๆ เจือไปด้วยสีม่วง ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมา