วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 34 รอเขากินข้าว

บทที่ 34 รอเขากินข้าว

เธอรู้สึกอึดอัด มีความรู้สึกเหมือนถูกทรมาน

แต่ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย

เขาเปลี่ยนชุดนอน และนอนลงข้างๆเธอ แล้วโอบกอดเธอจากด้านหลัง และขังเธอไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง

จิ่งหนิงทำหลังแข็งทื่อ

อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆของไม้สน บนหมอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นลมหายใจเย็นๆของผู้ชายคนนี้

ประกอบกับอุณหภูมิความร้อนที่ส่งผ่านจากด้านหลัง มันทำให้เธอรู้สึกว่า ถูกล้อมรอบไปด้วยกลิ่นของเขา เหมือนตัวเองเป็นนกที่ถูกจับมา และถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนา

โชคดีที่ลู่จิ่งเซินยังรักษาคำพูด

แม้ว่าจะกอดเธออยู่แบบนี้ ทำให้เธอไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้กระทำการอื่นใด

จริงๆเธอง่วงมาก ตอนแรกยังที่จะแข็งใจไม่หลับได้ แต่ต่อมา เมื่อได้ยินมีเสียงหายใจของผู้ชายดังมาจากด้านหลัง เธอก็รู้สึกว่าเปลือกตาของเธอหนักขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็หลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว

จิ่งหนิงไม่คาดคิดว่าตัวเองจะนอนนานขนาดนี้ พอตื่นขึ้นมาก็ตกใจ พอดูโทรศัพท์ ก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว

เธอลูบหน้าของตัวเอง เพื่อให้ตื่นขึ้นมาจากความง่วงนอน

เมื่อมองไปด้านข้าง เจอแต่ที่ว่างเปล่า เนื่องจาก ลู่จิ่งเซินตื่นออกไปนานแล้ว

เมื่อลงไปชั้นล่าง ก็รู้ว่าที่บริษัทมีเรื่องด่วน ลู่จิ่งเซินก็เลยถูกเรียกตัวไปที่บริษัท

เธอถามป้าหลิวว่า “เขาออกไปตอนกี่โมง”

ป้าหลิวยิ้มและตอบว่า “นายท่านออกไปตอนสิบเอ็ดโมงเช้า บอกว่านายหญิงเหนื่อยมา ไม่ให้พวกเราไปรบกวนคุณ และให้คุณพักผ่อนเยอะ”

จิ่งหนิงลดตามองต่ำลงเล็กน้อย

เวลาสิบเอ็ดโมงเช้า นั่นหมายความว่า เขาไม่ได้นอนนานเลย

เมื่อคิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องเหนื่อยมาทั้งคืนเพราะตัวเอง และวันนี้ก็ไม่มีเวลาพักผ่อน ความรู้สึกผิดก็ผุดขึ้นมาในใจ

“นายหญิง คุณหิวแล้วใช่ไหม! คุณจะทานอาหารตอนนี้เลยหรือรอทานพร้อมนายท่านดีคะ”

“รอพร้อมเขาดีกว่า!”

จิ่งหนิงตอบ และเดินขึ้นไปชั้นบน

เดินไปครึ่งทาง ก็จับท้อง และพูดว่า “ถ้ามีของกินอะไร เอามาให้ฉันกินก่อนก็แล้วกัน ฉันกินรองท้องสักหน่อย”

ป้าหลิวตอบด้วยรอยยิ้ม “ได้ค่ะ”

ป้าหลิวนำซุปไก่แสนอร่อยหนึ่งชามและขนมคุกกี้ไปให้เธอ

จิ่งหนิงนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา กินของอย่างเอร็ดอร่อย ขณะเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อเช็กข่าวล่าสุดของตระกูลจิ่ง

ในเมืองจิ้นตระกูลจิ่งยังไงก็เป็นครอบครัวที่ร่ำรวย ประกอบกับฐานะจิ่งเสี่ยวหย่าด้วยแล้ว จากที่เมื่อวานเกิดความวุ่นวายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวเศรษฐกิจหรือนักข่าวบันเทิง ต่างไม่ยอมปล่อยข่าวใหญ่นี้ให้หลุดมือไปแน่นอนนี้ไป

ดังนั้น วันนี้เมื่อเปิดอินเทอร์เน็ต ก็จะเห็นข่าวสารที่พวกเขาเผยแพร่ออกไปล่าสุดได้ทันที

ตามที่เธอคาดไว้ ทุกคนในตระกูลจิ่งต่างได้รับการประกันตัวออกมาแล้ว

ถึงแม้ หวังเสว่เหมยไม่ได้มีส่วนร่วมในการลอบสังหารจิ่งหนิง

แม้ว่าบนโลกออนไลน์มีการวิจารณ์เรื่องของเธออย่างหนัก แต่ทางตำรวจไม่พบหลักฐานใดๆ และไม่สามารถควบคุมตัวบุคคลดังกล่าวไว้ได้ พวกเขาจึงต้องปล่อยตัวคนไป

แต่เฉินหย่งต๋าก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น

ตามเบาะแสที่จิ่งหนิงให้ไป ตำรวจพบแก้วใบนั้นที่เฉินหย่งต๋าใส่ยาลงไปแล้ว และคำให้การของพนักงานเสิร์ฟ ก็ยืนยันได้ว่าเฉินหย่งต๋าเป็นคนวางยาด้วยตัวเอง

หลักฐานการฆาตกรรมถูกรวบรวมครบแล้ว เฉินหย่งต๋าจะต้องถูกดำเนินคดีทางอาญาต่อไป

จิ่งหนิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย

ตระกูลจิ่งได้รับการประกันตัวออกมา เธอเองไม่แปลกใจเลย

เพราะหวังเสว่เหมยไอ้จิ้งจอกเฒ่าคนนั้น ทำเรื่องเลวร้ายไม่เคยทิ้งหลักฐานไว้ข้างหลังเลย

แม้ว่าจะมีวิดีโอที่ถ่ายโดยลู่จิ่งเซินเป็นหลักฐาน แต่วิดีโอดังกล่าว มากสุดก็ทำได้แค่กระตุ้นให้สาธารณชนประณามเธอ ไม่สามารถเป็นหลักฐานยืนยันความผิดได้

เพราะเธอพูดได้ว่า นั่นคือสิ่งที่เธอต้องพูด เมื่อเธออยู่ในสถานการณ์ที่ถูกคุกคาม

และในความเป็นจริงลู่จิ่งเซินใช้วิธีที่เหนือกว่าเพื่อคุกคามเธอ

เมื่อนึกถึงตรงนี้ จิ่งหนิงก็ลูบคางตัวเองขบคิด

เธอรู้ว่า เหตุผลที่ลู่จิ่งเซินต้องการบันทึกและเผยแพร่วิดีโอดังกล่าวนั้น เป็นเพราะว่ามีหลายคนเห็นเธอกับเฉินหย่งต๋ามีความสัมพันธ์ที่พัวพันกันอย่างไม่ชัดเจนเมื่อคืนนี้

แม้ว่าต่อมาเขาจะปรากฏตัว และช่วยเหลือเธอไว้ แต่คนส่วนใหญ่ยังคงจมอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฉินหย่งต๋า

เพราะเมื่อห้าปีก่อน ชื่อเสียงของจิ่งหนิงในเมืองจิ้นไม่ได้ดีมากนัก

ถ้ามีเหตุการณ์นี้ถูกเพิ่มเข้ามา ชื่อเสียงของเธอก็จะถูกทำลายหมดสิ้น!

บางทีอาจไม่ใช่แค่ความผิดข้อหาขโมยเท่านั้น แต่ยังมีความผิดฐานมีชู้ด้วย!

ถึงตอนนั้น แม้ว่าเธอจะมีสิบปากก็พูดยืนยันอะไรไม่ได้

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ถ้าจะเอาโทษเสียอย่างแล้วทำไมจะหาเหตุใส่ร้ายไม่ได้!

แต่เห็นได้ชัดว่าลู่จิ่งเซินอ่านความคิดของหวังเสว่เหมยออกมานานแล้ว

ดังนั้นจึงบังคับให้เธอเล่าสิ่งที่น่ารังเกียจออกจากปากด้วยตนเอง จากนั้นบันทึกวิดีโอไว้ เพื่อเทน้ำสกปรกนี้กลับคืนไป!

ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้ว กลายเป็นว่าได้ผลดีมาก

ตอนนี้ความคิดเห็นบนอินเทอร์เน็ตเกือบทั้งหมดมีความลำเอียงต่อบนอินเทอร์เน็ต แม้ว่าจะมีคนไม่กี่คนที่ตาบอดที่ยังคิดว่าตระกูลจิ่งไม่มีความผิดก็ตาม

แต่ก็เป็นเพียงข้าวเมล็ดหนึ่งในมหานทีเท่านั้น สามารถเพิกเฉยไปได้เลย!

แต่หุ้นของบริษัทตระกูลจิ่ง ร่วงลงทั้งกระดาน เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้!

มีกิจการที่ก่อตั้งมายาวนานไม่กี่แห่ง ที่มีการเติบโตที่ดี และดำเนินการอย่างราบรื่นเป็นเวลาหลายปี โดยอ้างเหตุผลว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เป็นเพียงเรื่องอื้อฉาวในครอบครัว และไม่ควรส่งผลกระทบใหญ่หลวงเช่นนี้

แต่หุ้นก็ยังลดลงอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวในชั่วข้ามคืน

จิ่งหนิงครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วก็เข้าใจว่าเป็นฝีมือของใคร

เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์ออกมา และโทรออก

ในขณะเดียวกัน ณ บริษัทลู่ซื่อกรุ๊ป

ลู่จิ่งเซินกำลังประชุมอยู่

บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียด สมาชิกผู้บริหารระดับสูงของสาขาย่อยอยู่พร้อมกันทั้งหมด ต่างจ้องมองเจ้าพ่อที่นั่งอยู่อย่างประหม่า

ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ของใครส่งเสียงดังและสั่นถึงสองครั้ง

สีหน้าทุกคนก็เปลี่ยน ต่างมองหน้ากัน คุณมองฉัน ฉันมองคุณ ด้วยสีหน้างุนงง

หลังจากนั้น ก็เห็นท่านประธานนั่งอยู่จู่ๆก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และมองไปที่โทรศัพท์ และใบหน้าที่ตึงเครียดก็เปลี่ยนไปราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ และยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็ประกาศให้หยุดการประชุม แล้วลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก

ทุกคนต่างก็ตกใจ

ใครไม่รู้บ้าง ว่าเจ้านายของตัวเองเกลียดการถูกรบกวนมากที่สุดในระหว่างการประชุม

ไม่ต้องพูดถึงโทรศัพท์ แม้แต่ข้อความ ก็ทำให้เขาโมโหได้

แต่วันนี้ลมพัดเปลี่ยนมาจากทิศไหนกัน

ท่านประธานไม่เพียงแต่รับโทรศัพท์ แต่ยังประกาศระงับการประชุมขณะอยู่ในเวลาสำคัญที่สุดด้วย

ทุกคนต่างหันไปมองซูมู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที

ซูมู่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งด้านข้าง ก็ทำเสียงกระแอมไปเมื่อเห็นเหตุการณ์ และพูด

“เอ่อ…..คือว่า ช่วงนี้ธุรกิจใหญ่อยู่ ใช่ ท่านประธานกำลังคุยเรื่องธุรกิจ!”

ทุกคนต่างตะลึง

ทำให้ผู้ช่วยพิเศษที่สามารถจัดการเงินหลายหมื่นล้านของท่านประธานพูดออกมาได้ว่าเป็นธุรกิจใหญ่ ธุรกิจนี้จะต้องใหญ่มากแน่นอน

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมท่านประธานถึงได้มีความยืดหยุ่น ถึงขนาดยอมละเมิดหลักการของการไม่รับโทรศัพท์ขณะมีการประชุมได้!

ท่านประธานสุดยอดจริงๆ!

บรรดาผู้บริหารระดับสูงต่างรู้สึกชื่นชมลู่จิ่งเซินเป็นอย่างมาก

อีกด้านหนึ่ง ลู่จิ่งเซินที่กำลังคุยโทรศัพท์เกี่ยวกับ “ธุรกิจใหญ่” ก็หยุดเดินอยู่ตรงทางเดิน ก็พูดขึ้นมา

“ตื่นแล้วเหรอ”

จิ่งหนิงตอบด้วยความรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย “อืมใช่ คุณบอกว่าจะปลุกฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมปล่อยให้ฉันนอนจนถึงตอนนี้ละ”

ลู่จิ่งเซินหัวเราะเบาๆ มองด้วยดวงตาที่อ่อนโยนของเขา และพูด “ขอโทษนะ ฉันยุ่งแล้วก็ลืมไปเลย”

จิ่งหนิงนิ่งไปชั่วครู่ แล้วถามว่า: “คุณจะกลับมาเมื่อไหร่”

“ห๊ะ”

“ฉัน…..ก็รอคุณกินข้าวไง!”

น้ำเสียงของเธอดูอึกอัก เหมือนไม่คุ้นชินกับวิธีการพูดแบบนี้ แต่ก็ซ่อนความห่วงใยในน้ำเสียงนั้นไว้ไม่ได้

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ก็ได้เวลากินข้าวและพักผ่อนแล้ว!

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset