บทที่ 356 เธอต้องการแก้แค้น
ดังนั้นวันนี้ฉันเลยต้องการเพียงลุงสองทำให้เธอได้รับบทเรียน รู้จักแยกแยะถูกผิด หากทำผิดก็ต้องยอมรับผิด ทางที่ดีอย่าทำความผิดแบบนี้อีก ทำแบบนี้เธอถึงจะจดจำว่าครั้งหน้าไม่ควรทำอีก คุณว่าดีไหมค่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ กวนจี้หมิงก็พูดไม่ออก
เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด เขาก็รู้สึกว่ามีความสมเหตุสมผล
ดังนั้นเขาเลยไม่พูดอะไร
จิ่งหนิงหรี่ตายิ้มและจ้องมองจิ่งเสี่ยวหย่า
“เช่นนั้นตอนนี้เชิญเธอมากล่าวขอโทษด้วย!”
จิ่งเสี่ยวหย่ามีสีหน้าขาวซีด พร้อมจ้องมองจิ่งหนิงที่ยิ้มแย้มอย่างเบิกบาน จนคิดอยากเข้าไปขยี้หน้าเธอ
เธอกัดริมฝีปากแน่น พร้อมหันหน้ามองคุณท่านกวนด้วยสีหน้าน้อยใจ
แต่กลับเห็นคุณท่านกวนมีสีหน้ามืดครึ้ม แทบไม่หันหน้ามองเธอเลย
จิ่งเสี่ยวหย่าเริ่มลุกลี้ลุกลน
เธอหันหน้ามองกวนจี้หลี่ แต่เห็นเขาพยักหน้าต่อตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางย้อนกลับคืนแล้ว
ถึงแม้ในใจไม่ยินยอม แต่ก็ทำได้เพียงเดินไปข้างหน้า และพูดกับเสี่ยวหยู่ว่า : “ขอโทษ”
เสี่ยวหยู่ทำงานอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลกวนมาสองปีแล้ว ปกติเมื่อเห็นเหล่าเจ้านายต้องทำความเคารพ ไม่เคยถูกพวกเขากล่าวขอโทษมาก่อน
ด้วยเหตุนี้เธอจึงอดใจส่ายมืออย่างรีบร้อนไม่ได้
“ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ”
จิ่งเสี่ยวหย่ากำหมัดไว้อย่างแน่ ขณะเดียวกันก็กัดฟันอย่างแน่นด้วย จากนั้นก็หันหน้าต่อแขก และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : “ขอโทษค่ะ”
แขกในงานต่างพากันถอยหลังหนึ่งก้าว พร้อมพูดว่าไม่เป็นไร
จิ่งเสี่ยวหย่าเดินไปเบื้องหน้าแขกทีละคน
และเป็นแบบนี้ต่อเนื่องประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า จึงจะสามารถขอโทษแขกทั้งหมดในงาน
จิ่งเสี่ยวหย่าขอสาบานว่าชั่วชีวิตที่ผ่านมาของเธอไม่เคยพูดคำว่าขอโทษมากขนาดนี้เลย ถึงแม้คนมีจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นคนของตระกูลกวน ดังนั้นเลยไม่กล้าเผยสีหน้ายิ้มแย้มอะไร
แต่ในระหว่างนั้นมีไม่กี่คนอดใจกลั้นหัวเราะไม่ไหว
เมื่อเกิดเสียงหัวเราะขึ้น นั้นหมายความว่าเป็นการประชดประชัน
จิ่งเสี่ยวหย่ามีสีหน้าเก้อเขินทันที จนใบหน้าแดงก่ำ
ส่วนคุณท่านกวนทนดูไม่ได้ตั้งนานแล้ว เลยใช้ให้คนผลักรถเข็นเข้าห้องพัก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา “งานเลี้ยงกล่าวคำขอโทษ”นี้ก็สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนงานเลี้ยงฉลองวันเกิดนี้ก็ดำเนินถึงช่วงสุดท้ายเหมือนกัน
ความสนุกก็ได้ชมแล้ว อวยพรวันเกิดก็เรียบร้อยแล้ว เหล่าแขกจึงพากันแยกย้ายกลับบ้าน
จิ่งหนิงมองดูผลงานด้วยท่าทางพึงพอใจ แต่ก่อนจากไป เธอเดินไปกล่าวอำลากับคุณท่านกวนด้วยตัวเองด้วย
คุณท่านกวนโมโหจนคิ้วไม่เป็นทรง แถมแม้แต่เหลือบตามองเธอยังขี้เกียจเลย
แต่จิ่งหนิงไม่ถือสา ยังคงหรี่ตายิ้มแย้มอย่างเบิกบาน จากนั้นก็พาอานอานจากไป
ส่วนอีกด้าน กู้ฉางไห่ได้มองดูสถานการณ์ทุกอย่างของคืนนี้ด้วยตัวเอง ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ในใจเกิดความรู้สึกไม่พอใจต่อจิ่งเสี่ยวหย่าแล้ว
เขาต้องการเล่นงานตระกูลลู่ ถึงแม้รู้เรื่องอดีตที่ผ่านมาของจิ่งเสี่ยวหย่า รวมถึงเรื่องมีปัญหากับจิ่งหญิงด้วย แต่ขอเพียงแค่เธอสามารถได้รับหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของกวนซื่อกรุ๊ปเป็นของขวัญแต่งงาน เขาก็จะไม่ถือสาเรื่องที่ผ่านมา และจะพยายามเริ่มต้นใหม่
แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขายินยอมให้ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับขยะที่โง่เขลาและสร้างปัญหา!
ในสายตาของกู้ฉางไห่แล้ว จิ่งเสี่ยวหย่าทำร้ายอานอานหรือเปล่า ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
สำคัญอยู่ที่ เรื่องวุ่นวายที่ตัวเองก่อ ตัวเองไม่สามารถจัดการได้เอง
ผู้หญิงที่แม้แต่ปฏิภาณไหวพริบแก้ไขสถานการณ์ก็ยังไม่มี จะคู่ควรกับลูกชายของเขาได้อย่างไร และมีคุณสมบัติอะไรเข้ามาอยู่ในตระกูลกู้?
ไม่แน่ในอนาคตเธออาจจะสร้างปัญหาข้างนอก และนำพาความวุ่นวายให้ตระกูลกู้ตามเช็ดอุจจาระเธออีก?
ด้วยเหตุนี้ก่อนจากไป กู้ฉางไห่ก็ไปกล่าวอำลากับคุณท่านกวน และตอนที่คุณท่านกวนพูดถึงเรื่องแต่งงานของจิ่งเสี่ยวหย่ากับกู้เล็ก กู้ฉางไห่ไม่ได้ตอบรับ
เขายิ้มและพูดว่า : “เด็กทั้งสองคนยังอายุน้อยกันอยู่ อีกอย่างช่วงนี้ยีซวนออกไปทำธุระข้างนอกบ่อยมากด้วย เกรงว่าจะให้คุณหนูรองน้อยใจ ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก ปล่อยให้เด็กทั้งสองคนทำความรู้จักกันเอง เดียวเริ่มสนิทสนมกันเมื่อไหร่ค่อยมาคุยเรื่องนี้อีกที”
เขาไม่ได้พูดปฏิเสธตรงๆ แต่ยังคงไว้หน้าคุณท่านกวนอยู่
แล้วทำไมคุณท่านกวนจะไม่เข้าใจเจตนาของเขาล่ะ?
ทั้งที่ก่อนหน้านี้คุยตกลงกันอย่างดิบดี แต่เพราะเกิดเรื่องคืนนี้ขึ้น เขาจึงเริ่มพูดอ้างว่าเด็กทั้งสองไม่สนิทสนมกัน ต้องการเลื่อนเวลาก่อน
หรือเป็นเพราะเรื่องคืนนี้ เขาเลยกลัวว่าจิ่งเสี่ยวหย่าจะนำความวุ่นวายให้กับตระกูลกู้กันแน่?
คุณท่านกวนโมโหเดือดดาลมาก แต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ด้วยพฤติกรรมคืนนี้ของจิ่งเสี่ยวหย่า หากตระกูลกู้เปลี่ยนใจ เขาก็ไม่มีอะไรจะพูด
หลังจากส่งคนของตระกูลกู้กลับไป แขกคนอื่นก็แยกย้ายกลับบ้าน
จิ่งเสี่ยวหย่าเดินเข้ามาในห้องพักอย่างระมัดระวัง
ในตอนนี้ภายในห้องพักมีเพียงเธอกับคุณท่านกวนสองคน
ส่วนคนอื่นล้วนอยู่กับการอำลาแขกเพื่อนสนิท คนใช้และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าประตูข้างนอก หากไม่ได้รับคำสั่งจากคุณท่าน ใครก็ไม่สามารถเข้ามาได้
จิ่งเสี่ยวหย่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “คุณตา”
คุณท่านนั่งหันหลังต่อเธอ พร้อมร้องอุทาน”อืม”ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น
“คืนนี้รู้หรือยังว่าตัวเองทำผิดตรงไหนบ้าง?”
จิ่งเสี่ยวหย่ากัดริมฝีปาก เพราะอับอายมาก ตอนนี้บนใบหน้าของเธอจึงมีสีแดงก่ำ ขณะเดียวกันน้ำตาก็คลอเบ้า พร้อมเผยท่าทางน่าสงสารออกมา
“ทราบค่ะ”
“พูดมา ทำไมเธอจึงลงมือทำร้ายเด็กคนนั้นด้วย?”
จิ่งเสี่ยวหย่านิ่งเงียบสักพัก
เธอวางมือทั้งสองข้างไว้ข้างหน้า และออกแรงจิกกระโปรงของตัวเอง เธอก้มหน้าลง และยืนอยู่ภายใต้แสงสว่าง ซึ่งเมื่อดูแล้วน่าเห็นอกเห็นใจมาก
คุณท่านกวนขมวดคิ้ว แล้วเลื่อนเก้าอี้รถเข็นหันกลับมา
“กับตายังไม่กล้าพูดความจริงอีกหรอ?”
จิ่งเสี่ยวหย่ารู้ว่าเรื่องนี้ปกปิดคุณท่านกวนไม่ได้ อีกอย่างคำพูดโกหกที่ดัดแปลงในตอนนี้ของเธอคงไม่มีความน่าเชื่อถือมากเพียงพอ
อีกทั้งแขกส่วนใหญ่ในคืนนี้ไม่ค่อยมีใครเชื่อในคำพูดของเธอด้วย
เพียงแต่เห็นแก่หน้าตาของคุณท่านกวน จึงไม่มีใครกล้าพูดออกมา
จิ่งเสี่ยวหย่าเผชิญกับสายตาแหลมคมของคุณท่านกวนอยู่สักพัก ไม่นานเธอก็พูดขึ้นมาว่า : “เพราะหนูต้องการแก้แค้น”
คุณท่านกวนขมวดคิ้วขึ้น
“แก้แค้นเรื่องอะไร?”
จู่ๆจิ่งเสี่ยวหย่าก็ร้องไห้ออกมา
เธอร้องไห้อย่างเสียใจ น้ำตาของเธอเหมือนกับไข่มุกเม็ดใหญ่ที่ไหลพรากลงมา เธอพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า : “ขอโทษค่ะ คุณตา หนูเองก็ไม่อยากทำ แต่หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในตอนนั้นทำไมหนูถึงพลั้งพลาด ทั้งที่รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับคิดอยากทำร้ายเธอ”
คุณท่านกวนรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย
“ฉันกำลังถามเธอว่าแก้แค้นเรื่องอะไร?”
จิ่งเสี่ยวหย่าสูบลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดขึ้นว่า : “ตอนที่หนูกับสามีคนเก่าอยู่ด้วยกัน หนูเคยตั้งท้องครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเด็กทารกเริ่มมีการเปลี่ยนแล้ว แต่กลับถูกพี่สาวทำร้ายจนแท้งลูก ซึ่งหนูรู้สึกแค้นมาตลอดเลย
หลังจากมาเมืองหลวง หนูรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวมาก ส่วนจิ่งหนิงกลับมีความสุขกับอานอาน จนทำให้หนูนึกถึงลูกคนนั้นของหนู ภายใต้ความแค้นที่ครอบงำที่อยากให้เธอได้ลิ้มรสชาติของการสูญเสีย ดังนั้นหนูเลยพลั้งมือทำร้ายอานอาน”