บทที่ 357 ฝังพร้อมกับคนตาย
ขณะที่เธอพูดก็ยิ่งร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ
“ขอโทษค่ะ คุณตา หนูคิดไม่ถึงจริงๆว่าสุดท้ายจะกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะหนูไม่ดีเอง ทำให้คุณตาอับอายขายขี้หน้า แถมยังทำให้มีปัญหากับตระกูลลู่ ขอโทษจริงๆค่ะ”
จิ่งหนิงกล่าวขอโทษต่อเนื่อง ถึงแม้คืนนี้คำว่าขอโทษพูดเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน จนเธอใกล้จะอ้วกก็ตาม
แต่เธอรู้ดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณท่านกวน เธอต้องรักษาภาพลักษณ์ และแสร้งเป็นคนน่าสงสาร
อย่างน้อยต้องไม่ทำให้คุณท่านกวนผิดหวังในตัวเธอ จนตัดหางปล่อยวัด
เป็นดั่งที่คาดคิด คุณท่านกวนหันหน้ามองเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “เธอรู้ไหมว่าเธอผิดพลาดมากที่สุดคืออะไรไหม?”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้งชั่วขณะ
และจ้องมองเขาด้วยสีหน้ามึนงง พร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย
“ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเธอคือ ในเมื่อลงมือแล้ว แต่กลับไม่สามารถจัดการอยู่หมัดในนัดเดียว แถมยังปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสกลับมาโจมตีเธอกลับ”
เขาถอนหายใจ และพูดขึ้นว่า : “วันนี้ถือว่าโชคดีที่เป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็ก เรื่องราวจึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตระกูลกวน แต่ในอนาคตหากเธอต้องการเล่นงานใคร เธอต้องจำไว้ว่าตีงูต้องตีให้ตาย หากลงมือแล้วต้องเอาให้ถึงตาย และไม่ให้โอกาสหรือช่องโหว่ให้ศัตรูย้อนกลับมาเล่นงาน ไม่เช่นนั้นเธอไม่เพียงทำไม่สำเร็จ แต่ยังทำให้เธอต้องตกอยู่ที่นั่งลำบากด้วย เข้าใจไหม?”
จิ่งเสี่ยวหย่านิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น
เธอจ้องมองคุณท่านกวนด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เหมือนกับไม่กล้าเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของคุณท่าน
คุณท่านกวนยิ้มแห้งๆขึ้น
“ไม่ต้องแปลกใจหรอก ในเมื่อเข้ามาในตระกูลกวนของพวกเราแล้ว เธอก็กลายเป็นคนของตระกูลกวน ดังนั้นฉันย่อมเข้าใจเหตุผลของเธอ
บรรดาผู้มีตำแหน่งสูงส่งทุกคนไม่มีใครหรอกที่มือสะอาดหมดจด ล้วนซึ่งต้องผ่านวิธีการสปกรกเพื่อช่วงชิงตำแหน่งให้กับตระกูลของตัวเอง
เธออย่าไปมองท่าทางที่แสร้งทำเป็นคนสูงส่งจิตใจดีของคนตระกูลลู่พวกนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องเลวที่พวกเขาทำก็ไม่น้อยกว่าที่ตาทำหรอก
อีกอย่างหลายปีมานี้ ถ้าไม่ใช่เพราะลู่จิ่งเซินเอาแต่ขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดหย่อน แถมสูบกินอำนาจของตระกูลอื่น พวกเราจำเป็นต้องใช้วิธีการแต่งงานปรองดองเพื่อปกป้องตัวเองไหม?
ทุกอย่างเป็นเพราะถูกบีบเคล้น ตาแก่มากแล้ว ไม่รู้หากไม่อยู่แล้ว ตระกูลคงต้องพึ่งพาเธอกับลุงช่วยกันค้ำจุน แต่พวกเขาฉลาดเฉลียวมาก พวกเขาฉวยโอกาสตอนที่มีปัญหากันเองฉวยผลประโยชน์
ดังนั้นที่ฉันเรียกเธอมา ให้หุ้นส่วนกับเธอก็เพราะต้องการให้เธอสร้างความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอยู่ตรงกลาง ฉันรู้ว่าหนูทำได้ หนูเป็นคนฉลาด ซึ่งไม่ได้แย่กว่าลุงสองของหนูเลย เพียงแต่หัวใจของหนูต้องอยู่ที่ตระกูลกวน นึกถึงแต่ตระกูลกวน ส่วนเรื่องอื่นตาไม่ถือสาหรอก เข้าใจไหม?”
จิ่งเสี่ยวหย่าเผยสีหน้าตกใจ พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย
“ค่ะ หนูเข้าใจแล้วค่ะ คุณตา”
คุณท่านกวนหลับตาลงด้วยท่าทางเหนื่อยล้า แล้วส่ายมือเล็กน้อยต่อเธอ
“เอาล่ะ ตาเหนื่อยมากแล้ว เธอออกไปเถอะ และเรียกให้พยาบาลเข้ามา”
จิ่งเสี่ยวหย่าตอบรับ แล้วหันหลังเดินออกไป
อีกด้านหนึ่ง อานอานกลับบ้านพร้อมกับจิ่งหนิง หลังจากอาบน้ำเสร็จก็นอนบนเตียง และให้จิ่งหนิงเล่านิทานให้กับเธอ
เพราะเด็กน้อยเกิดอุบัติเหตุ จิ่งหนิงจึงไม่วางใจให้เธอนอนคนเดียว จึงอยากนอนเป็นเพื่อนเธอสักคืน
เพิ่งอ่านนิทานจบ จู่ๆเด็กน้อยก็พูดขึ้นว่า : “หม่ามี๊ค่ะ เป็นเพราะอานอานแอบไปฟังเธอกับคุณท่านกวนพูดคุยกัน คุณน้าจิ่งคนนั้นจึงผลักอานอานตกลงไปในน้ำ”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้งชั่วขณะ
เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “ไม่ใช่ว่าหนูบอกว่าเธอกับคุณท่านกวนไม่ได้พูดอะไรกันหรอกหรอ?”
เด็กน้อยขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใช่ค่ะ ไม่ได้พูดอะไร แต่หนูรู้สึกว่าท่าทางของพวกเขาสองคนแปลกๆ เหมือนกำลังคิดการทำเรื่องไม่ดี”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้งชั่วขณะ
เด็กน้อยมีสัญชาตญาณที่แม่นยำมาก
ถึงแม้เธอไม่ค่อยรู้เรื่องเจตนาในคำพูดของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็สามารถรับรู้ได้จากสถานการณ์ว่าฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาไม่ดี
เพียงแต่เธอไม่ค่อยเข้าใจว่ากวนจี้หมิงคือคนที่พาจิ่งเสี่ยวหย่ากลับมา
หากพูดตามหลักการแล้ว ในตระกูลกวน เธอควรยืนอยู่ข้างเดียวกับกวนจี้หมิงถึงจะถูก
แล้วทำไมถึงแอบไปคุยกับกวนจี้หลี่ด้วย?
เธอนิ่งเงียบสักพัก และพูดด้วยน้ำเสียงปลอบใจว่า : “อาจจะใช่มั่ง แต่ไม่เป็นไร อานอานของเราไม่ได้ตั้งใจแอบฟังสักหน่อยจริงไหม?”
อานอานพยักหน้าเล็กน้อย
“ดังนั้นไม่ว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไร เธอไม่ควรทำแบบนั้นกับหนู เธอเป็นคนผิด ตอนนี้อานอานไม่ต้องคิดมากแล้วนะ”
อานอานพูด”อืม”ขึ้นสีหน้าเข้าใจ
ไม่นานเด็กน้อยก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย จิ่งหนิงไม่ได้เล่านิทานต่อให้กับเธอ แต่หลังจากเกลี้ยกล่อมเธอนอนหลับก็ปิดไฟ และตัวเองก็นอนพักผ่อน
ในตอนนี้ ณ คฤหาสน์ตระกูลกวน
จิ่งเสี่ยวหย่าเตรียมตัวกลับไปที่ห้อง แต่เห็นบนลูกบิดเปิดประตูของห้องเธอมีคราบสีขาวจางๆอยู่
เธอนิ่งอึ้งเล็กน้อย พร้อมกวาดตามองรอบบริเวณ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่รอบข้าง จึงจะเดินไปทางระเบียงอีกด้านหนึ่ง
“คุณลุง มาหาฉันหรอ?”
ภายในห้องที่มืดมิด จิ่งเสี่ยวหย่าจ้องมองผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า และซักถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น
กวนจี้หลี่มีสีหน้าเคร่งเครียดมาก
“ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปหาเรื่องตระกูลลู่อีก ฉันเพิ่งบอกเธอแท้ๆ แต่กลับไปลงมือกับเด็กคนนั้น หรือว่าเธอมีชีวิตจนเบื่ออยากตายแล้วหรอ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับกวนจี้หลี่ที่กำลังโมโห จิ่งเสี่ยวหย่าก็ก้มหน้าลงเผยสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อยขึ้น
แต่เธอก็ยังพูดอธิบายอย่างกล้าหาญว่า : “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเด็กคนนั้น เพียงแต่เมื่อนึกถึงตอนที่เห็นเธอแอบเห็นพวกเราคุยกัน ฉันกังวลว่าเธอจะได้ยินอะไร ดังนั้นจึง…….”
“เธอพูดว่าอะไรนะ?”
กวนจี้หลี่นิ่งอึ้งชั่วขณะ
จิ่งเสี่ยวหย่าเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “ตอนที่คุณให้ฉันออกมาพบกับคุณหลังสวน เธอแอบฟังพวกเราพูดคุยในที่มืดอยู่”
กวนจี้หมิงเปลี่ยนสีหน้าทันที
เขานิ่งเงียบสักพัก แล้วเผยดวงตามืดครึ้มขึ้น
“เธอแน่ใจหรอว่าเธอฟังหมดทุกอย่าง?”
จิ่งเสี่ยวหย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คงเป็นแบบนั้นแหละ หลังจากที่คุณจากไป ฉันก็พบเธอ แต่ในตอนนั้นเธอวิ่งเร็วมาก เลยไล่ตามไม่ทัน ดังนั้นฉันจึงใช้ของเล่นผีเสื้อล่อเธอออกมาฆ่าปิดปาก แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะจบลงแบบนี้”
กวนจี้หลี่นิ่งเงียบลง
เขากำลังย้อนความทรงจำว่าคืนนี้เขาพูดกับจิ่งเสี่ยวหย่าอะไรบ้าง
หลังจากย้อนความทรงจำเสร็จ และมั่นใจว่าไม่มีหลักฐานอะไรที่ชัดเจน จึงถอนหายใจเล็กน้อย
“ช่างเถอะ แค่เด็กคนเดียวคงสงสัยอะไรไม่ได้หรอก ต่อให้เธอเอาเรื่องนี้บอกกับตระกูลลู่ของพวกเขา อย่างมากก็เป็นแค่การสงสัย เดิมทีพวกเราก็เป็นความสัมพันธ์ของลุงกับหลานสาว ยืนอยู่ด้วยกันถือเป็นเรื่องปกติ แต่เธออย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เพียงแค่หญ้าพลิ้วไหลก็คิดจะฆ่าคนแล้ว เธอคิดว่าที่นี่เป็นเมืองจิ้นขนาดเล็กของเธออีกหรอ? หากเกิดเรื่องจริงขึ้นมา ทั้งตระกูลกวนคงฝังศพไปพร้อมกับเธอแน่ เข้าใจไหม?
จิ่งเสี่ยวหย่าก้มหน้าลงเล็กน้อย และพูดอย่างอ่อนโยนว่า : “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”