บทที่ 367 เธอเป็นของผม
หวั่นหวั่น ถ้าเกิดหนูยังอยู่มันจะดีขนาดไหน?
ตั้งแต่เล็กหนูก็เป็นเด็กที่ใส่ใจคนอื่นมากมาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่แย่งพี่ชายทั้งสอง กับพ่อแม่ก็กตัญญูมากๆ แต่น่าเสียดาย……
น่าเสียดาย ที่หนูไปเจอกับเขา!
แต่ว่าหนูวางใจเถอะ ต่อให้หนูไม่อยู่ พ่อก็จะดูแลเด็กคนนั้นให้ดีๆ ตั้งแต่วันนี้ไป ขอแค่เขายังมีชีวิตอยู่ ก็จะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องเธอแม้แต่ปลายผม!
ถึงแม้การจัดการเรื่องของกวนจี้หลี่แล้วจะยุ่งยากนิดหน่อย แต่มีกวนจี้หมิงค่อยช่วย ก็ถือว่าไม่ช้ามาก
เรื่องนี้ คุณท่านไม่ได้ปิดบังกวนจี้หมิง
รวมถึงตัวตนของจิ่งหนิงกับจิ่งเสี่ยวหย่า ก็ได้บอกเขาไปจนหมด
กวนจี้หมิงได้ยิน ก็ตกใจมาก
แต่พอนึกถึงตอนที่เขาเจอกับจิ่งหนิงครั้งแรก ก็รู้สึกว่าจากหน้าตาของเธอนั้นได้มีความคุ้นเคยอยู่ ก็ได้กระจ่างทันที
กวนจี้หลี่ถูกย้ายไปอยู่ต่างประเทศ
แต่ยังไงก็เป็นลูกแท้ๆ ของตน ถึงแม้ดูไร้เยื่อใย ทำผิดครั้งใหญ่ แต่เลือดข้นกว่าน้ำ คุณท่านก็ทำใจไม่ได้ที่จะลงโทษหนักๆ
เพราะงั้น ได้เก็บเอาอำนาจทั้งหมดกลับมา แล้วก็ส่งเขาไปที่บริษัทย่อยที่อยู่ต่างประเทศ
บอกว่าไปเป็นผู้จัดการที่บริษัทย่อย ความจริงแล้ว ก็คือได้ไล่ไปอยู่ที่นั่น
ใครๆ ก็รู้ บริษัทหลักของตระกูลกวนอยู่ที่ประเทศจีน อยู่ในเมืองหลวง บริษัทย่อยที่ต่างประเทศเหมือนเป็นวัดเล็กๆ เท่านั้น ส่งเชื้อสายตรงอย่างลูกชายคนโตไปคุม ดูยังไงก็เป็นไปไม่ได้
โลกภายนอกต่างพากันคาดเดา แต่ก็เดาความจริงไม่ออก
เรื่องนี้ ไม่ว่าเป็นลู่จิ่งเซินหรือว่าคุณท่านกวน ก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่
ลู่จิ่งเซินนั้นคิดถึงว่าจิ่งหนิงอาจจะไม่ค่อยที่จะทำใจยอมรับเรื่องตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้ ถ้าเกิดเป็นเรื่องใหญ่ ความลับนี้อาจจะปิดไม่อยู่
คุณท่านกวนก็เพราะวงศ์ตระกูลของตน
ยังไงซะในตระกูลก็ต้องรักษาหน้า การกระทำแบบนี้ของกวนจี้หลี่ มันเกินไปจริงๆ หลุดออกไปมันจะส่งผลกับชื่อเสียงของตระกูล
แต่ว่า คนข้างนอกถึงแม้เดาความจริงออกมาไม่ได้ แต่ว่ามีเสียงออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า คุณท่านนั้นได้ตกลงที่จะเอาตำแหน่งผู้นำตระกูลส่งให้ลูกชายคนรองแล้ว เพราะงั้นถึงได้จงใจย้ายลูกชายคนโตออกไป เลี่ยงที่จะไม่ให้สองพี่น้องกัดกัน
นี่ก็หมายความว่าได้ทิ้งไปคนหนึ่ง แล้วก็รักษาคนหนึ่งไว้
ใครใช้ให้ทั้งสองนั้นต่อกรกันจนน่ากลัว ไม่มีทางที่จะสงบศึกดีๆ ได้หรอก
แต่ไม่สนว่าความคาดเดานี้เป็นจริงไหม หนึ่งเดือนให้หลัง คุณท่านกวนก็ได้ประกาศว่าตัวเองจะออกจากตำแหน่งในการประชุมผู้บริหาร แล้วก็ยกบริษัททั้งหมดให้กวนจี้หมิงดูแล
ที่ผ่านมานี้ กวนจี้หมิงก็ได้พยายามมาอย่างหนัก จนได้กลายเป็นใจกลางหลักของบริษัท
เพราะงั้น การที่ได้ตัดสินใจแบบนี้ ก็ไม่ได้มีคนแปลกใจมากนัก
ยังไงซะ ถ้าให้ลูกคนโตที่ไม่ได้เรื่องคนนั้นมาบริหารกวนซื่อกรุ๊ปจริง งั้นอนาคตเป็นยังไงจินตนาการออกมาได้เลย
เรื่องนี้ นอกจากกวนจี้หลี่ที่อยู่ต่างประเทศนั้น คนอื่นก็ถึงว่านี่เป็นข่าวที่น่ายินดีทั้งหมด
และอีกด้าน คุณท่านกวนกลับตกอยู่ในความสับสนคิดมาก
เหตุผลก็เพราะ เขาลังเล ว่าจะออกมายอมรับจิ่งหนิงดีไหม
เขารู้ เวลาที่เขาเหลืออยู่นั้นมีไม่มาก
หมอบอกเขาว่า ร่างกายของเขา มากสุดก็ทนได้อีกสองเดือน
ในใจนั้น แน่นอนว่าเขาอยากจะออกมายอมรับเรื่องจิ่งหนิงมากๆ
แต่ว่าเขาก็รู้ ตั้งแต่เรื่องของอานอานคราวก่อน บวกกับกวนจี้หลี่ที่ลอบทำร้ายเธอ ความคิดที่จิ่งหนิงมีให้ตระกูลกวน ก็ได้แย่เอามากๆ แล้ว
อีกอย่างถ้าเกิดเธอรู้ความจริงขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องไล่ถามไถ่เรื่องแม่ของตนแน่ ถึงตอนนั้นเขาจะบอกเธอยังไง ว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคืออะไร?
เพราะเรื่องนี้คุณท่านกวนก็ได้ลังเลมาตลอด อารมณ์ไม่ดี
แต่กวนเสว่เฟย ในบ้านอยู่ๆ ก็ได้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณท่านก็ยังเป็นแบบนี้ เธอก็ได้เลื่อนงานในมือของตัวเองทั้งหมด ช่วงนี้นั้นก็ได้คอยตั้งใจดูแลคุณท่าน
คุณท่านรู้ว่าเธอกตัญญู ก็ไม่ได้บีบบังคับให้เธอแต่งงานกับลูกคนเล็กตระกูลกู้แล้ว ส่วนเรื่องอนาคตของตระกูลกวน ลูกหลานมีบุญของลูกหลานเอง เขาได้วางแผนมาทั้งชีวิต ก็ทำได้แค่นำพาตระกูลกวนมาถึงจุดนี้ เรื่องของอนาคตยังอีกไกล เขาเหนื่อยแล้ว ยุ่งไม่ได้แล้วก็ไม่อยากยุ่งแล้ว
เวลาที่เงียบสงบแบบนี้ก็ได้ค่อยๆ ผ่านไป
ผ่านไปอีกเดือน อาการบาดเจ็บของจิ่งหนิงก็หายดีสักที กลับไปทำงาน
สองท่านของตระกูลลู่สุดท้ายก็ปิดไม่อยู่ ยังไงซะเจ็บหนักเกินไป แล้วก็อยู่ในที่ที่โดดเด่น ปกติลู่จิ่งเซินก็ไม่ยอมให้เธอยกแก้วน้ำ ยากที่ท่านทั้งสองจะมองไม่ออก
ดีที่บาดแผลก็ได้สมานแล้ว ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะปวดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทางกองถ่ายก็เพราะการบาดเจ็บของเธอ ก็ได้พักงานรอเธอ
ยังไงก็เป็นการร่วมลงทุนของอานหนิงกั๋วจี้ มีบอสใหญ่อยู่ ค่าใช้จ่ายเยอะเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร
วันที่จิ่งหนิงกลับมาทำงาน ทางกองถ่ายก็ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับกลับให้เธอโดยเฉพาะ
เพราะว่ากลัวแผลจะอักเสบ ตอนนี้เธอไม่กล้าดื่มเหล้า เพราะงั้นก็ได้ดื่มน้ำผลไม้ตลอดทั้งงาน
กลับกันโจวเหวินจาง ดื่มไปไม่น้อย ดื่มเมาแล้วก็เอามือไปพาดไหล่ของจิ่งหนิง พูดอย่างเมาๆ ว่า “จิ่งหนิง คราวนี้ฉันต้องขอบใจเธอจริงๆ ถ้าเกิดเธอไม่ช่วยพวกเราเปิดปาก เธอได้รับบาดเจ็บขนาดนั้น ประธานลู่ฆ่าฉันไปแล้วแน่ๆ!”
จิ่งหนิงก็ได้ขำออกมา
“มันร้ายแรงอย่างที่พวกคุณพูดที่ไหน?”
“มีสิมีสิ” เพื่อนร่วมงานฝ่ายอุปกรณ์ได้รีบพูด “เธอไม่รู้ ตอนที่ฉันดูสายตาเขาตอนนั้น น่ากลัวจนฉี่แทบราด โชคดีที่เรื่องนี้ฉันไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ จากนั้นฉันก็ย้อนกลับไปคิดดีๆ แล้วก็บอกเบาะแสกับผู้ช่วยซู ถึงได้จับคนที่ทำมาได้ ไม่อย่างนั้นฉันกับอาหยาสองชีวิตนี้ก็รักษาไม่อยู่แล้ว”
จิ่งหนิงมองสีหน้าที่กลัวของพวกเขา ใบหน้าได้ยิ้ม แต่ใจก็ได้เริ่มร้อน
ผู้ชายคนนี้นี่น้า……
ทำไมถึงได้ดีขนาดนี้!
อยู่ๆ เธอก็เชื่อใจลู่จิ่งเซินมากๆ พึ่งแยกกันตอนเช้านี้เองแท้ๆ ยังเป็นเขาที่มาส่งเธอที่กองถ่าย นี่พึ่งห่างกันกี่ชั่วโมงเนี่ย ทำไมถึงได้คิดถึงขนาดนี้ล่ะ?
ปกติจิ่งหนิงก็ไม่ได้เป็นคนที่สำรวมอะไรมาก ไหนๆ ก็คิดถึงแล้ว แน่นอนว่าต้องส่งข้อความไปบอกเขา
อีกด้าน ลู่จิ่งเซินมองข้อความที่ส่งมาของเธอ ใบหน้าที่เคร่งเครียดตลอดสองเดือน ก็ได้หายไปสักที
เห็นข้อความบนหน้าจอ จิ่งหนิงส่งข้อความมาว่า “ที่รัก คุณรู้ไหมว่าฉันอยากจะเป็นคนแบบไหนมากที่สุด?”
ลู่จิ่งเซินคิดไปคิดมา ตอบ “นักแสดงนำหญิง?”
“ไม่ เป็นคนของคุณ”
ลู่จิ่งเซิน “……”
ผ่านไปกี่วิ จิ่งหนิงก็ได้ส่งมาอีก
“ที่รัก คุณรู้ไหมว่าฉันขาดอะไรไป?”
“ขาดอะไร?”
“คุณ มาอยู่ข้างกายฉัน”
“……”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ……”
จิ่งหนิงได้ส่งฮ่าๆๆๆ ออกมา ลู่จิ่งเซินมองข้อความนั้น ลิ้มรสไปสักพัก ก็ได้หัวเราะออกมา
เวลานี้ จิ่งหนิงก็ได้ส่งข้อความมาอีกกว่า
“ที่รัก คุณรู้ว่าคุณกับดวงดาวต่างกันตรงไหนไหม?”
“ฉันก็เหมือนดวงดาวส่องสว่างเหมือนกัน ไม่ต่างกัน”
จิ่งหนิง “……”
คราวนี้ถึงตาเธอที่พูดไม่ออก
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้จะมั่นหน้าขนาดนี้
แต่ว่าก็ได้ให้เกียรติคำหวานไปต่อ เธอก็ได้แกล้งทำเป็นไม่เห็นคำพูดของเขา แล้วก็ส่งคำตอบไปว่า
“ความจริงคือ ดวงดาวนั้นอยู่บนฟ้า แต่คุณอยู่ในใจฉัน”
ลู่จิ่งเซิน “……”
จิ่งหนิงที่อยู่หน้าจอ ก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายบางคนนั้นเวลานี้หน้าได้ดำลง แล้วก็มีท่าทางที่เหมือนว่าไม่รู้จะทำยังไงดีแบบนั้น
หยอกล้อเสร็จ เธอก็ได้เก็บโทรศัพท์ลงด้วยความพอใจ
เวลานี้ เสียงข้อความโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น
เธอเอาออกมาดู ลู่จิ่งเซินเป็นคนส่งข้อความมา
“นักษัตรเธอเป็นอะไร?”
จิ่งหนิงอึ้งไปสักพัก ก็ได้ตอบไปตรงๆ ว่า “กระต่ายไง”
“ไม่ เธอเป็นของผม”