บทที่ 36 ภรรยาของตัวเอง
เธอมองไปที่อาหารบนโต๊ะอย่างเงียบๆ และแน่นอน ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เธอชอบกิน
ทั้งหนังสือในห้องหนังสือ เสื้อผ้าในห้องแต่งตัว รวมถึงอาหารเต็มโต๊ะนี้ที่เธอชอบ ของต่างๆดูเหมือนพร้อมจะออกมาทุกเมื่อที่คุณต้องการ
แต่ชายคนนั้นไม่ได้บอกให้ชัดเจน เธอจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ และไม่พูดอะไร
ตามกฎเวลากินข้าวจะไม่พูดคุยกัน ทั้งสองคนจึงไม่มีการพูดคุยอะไรกัน
จนกระทั่งกินเสร็จ เธอก็ไปเดินเล่นย่อยอาหารที่สวนดอกไม้หน้าบ้าน ระหว่างเดินก็เลื่อนโทรศัพท์ดูข่าวบันเทิงวันนี้ไปด้วย
ทันใดนั้นก็มีกลิ่นไม้สนเย็นๆมาจากข้างหลัง
เธอสะดุ้งเล็กน้อย หันหลังมองไปรอบๆ ก็เห็นลู่จิ่งเซินยืนอยู่ข้างหลัง
“อย่าเล่นโทรศัพท์ตอนเดิน”
เขาพูดพลางเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ของเธอมา
จิ่งหนิงไม่ทันระวัง เท้าก็สะดุดเข้ากับก้อนหิน จนเอน และล้มลงไปข้างๆ
“อ๊า——!”
เสียงกรีดร้องตกใจสั้นๆ
ความเจ็บปวดไม่ทันเกิดขึ้น ชายคนนั้นก็คว้าเอวของเธอ และอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างง่ายดาย
“ตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด!”
เขาตีหน้าขรึมพูดสอนเธอ
จิ่งหนิงที่ถูกเขาว่าแบบนั้น ก็หน้าแดงจนถึงใบหู แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรโต้แย้งได้เพราะเป็นความผิดของเธอเอง
ทำได้แค่จ้องเขา และพูดด้วยความโกรธว่า “นี่ลุง รู้ว่าตัวเองเป็นคนแก่อย่าเอาเปรียบผู้หญิงสิ ปล่อยลงเดี๋ยวนี้เลย!”
พูดพลาง และออกแรงดิ้นอย่างหนัก
แขนที่โอบไว้ที่เอวไม่คลายออก แต่กลับอุ้มให้แบบและแน่นขึ้น
ลู่จิ่งเซินยิ้ม และพูดด้วยเสียงต่ำ “ว่าคุณคำเดียว ก็ทำให้โกรธแล้วเหรอ ฉันอุ้มภรรยาของตัวเอง มาบอกว่าเอาเปรียบได้อย่างไร”
จิ่งหนิงจ้องมอง
ชายคนนี้ก็ยอมแพ้ และวางเธอลง
“ก็ได้ ฉันผิดเอง ไม่ควรฉวยโอกาสเอาเปรียบคุณ ในเมื่อคุณคิดมากขนาดนี้ ฉันให้คุณเอาคืนฉันดีไหม”
พูดแล้ว เขาจึงโน้มตัวเข้าไป เพื่อให้เธอสามารถกอดเอวของเขาได้
จิ่งหนิงโกรธมาก
ไอ้หมอนี่ หน้าด้านจริงๆ!
เธอหันหลังเดนออกไปด้วยความโกรธ เมื่อลู่จิ่งเซินเห็นว่าเธอโกรธจริงๆ ก็รีบตามไปหยุดเธอไว้
พูดง้อเสียงอ่อนว่า “โอเค ผมแค่ล้อคุณเล่นเอง! โกรธจริงเหรอ”
จิ่งหนิงไม่สนใจเขา
ลู่จิ่งเซินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า: “มีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ อยากฟังไหม”
จิ่งหนิงเหลือบมองเขาเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าเขาดูไม่ได้ล้อเล่น ดังนั้นก็ยอมรับความดีนี้ไว้ และถาม “เรื่องอะไรเหรอ”
“คุณเคยบอกไว้ว่าอยากเจอเซ่เซียวไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เขาอยู่ในประเทศแล้ว ฉันจะจัดให้พวกคุณเจอกันพรุ่งนี้เที่ยง!”
จิ่งหนิงคิดอยู่สักพัก พรุ่งนี้ก็ไม่มีธุระอะไร งั้นก็โอเค
เธอมองไปที่ลู่จิ่งเซิน ขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดอย่างจริงจังว่า: “ลู่จิ่งเซิน ฉันขอบอกไว้ก่อนว่า แม้ว่าฉันจะรู้สึกขอบคุณสำหรับสิ่งที่คุณทำให้ฉัน แต่ฉันเป็นคนที่มีหลักการ
ถ้าเซ่เซียวถูกกล่าวหอย่างไม่ยุติธรรมจริงๆ ฉันสามารถช่วยเขาลบล้างความผิด เรียกคืนชื่อเสียงของเขากลับมา และช่วยให้เขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ แต่ถ้าข้อกล่าวหาของอีกฝ่ายเป็นความจริงทั้งหมด
ฉันก็ขอโทษด้วย แม้ว่าเขาจะเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของคุณ ฉันก็ไม่ช่วยเขาแน่นอน!”
ลู่จิ่งเซินมองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง และยิ้มเบาๆ “เป็นคนมีหลักการขนาดนี้เชียว จะปกป้องผู้อ่อนแอเหรอ”
จิ่งหนิงมองบนใส่เขาหนึ่งที และพูด
“คุณก็คิดว่าฉันเป็นพระแม่มารีสิ!”
เธอนิ่งไปชั่วครู่ และพูดเสียงขรึมว่า “ฉันแค่คิดว่า คนที่ทำตัวไม่ดีและยอมที่จะปรับปรุงตัว แม้ว่าครั้งนี้ฉันจะช่วยเขาไว้ ครั้งต่อไปเขาก็จะทำมันอีก และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครตามล้างตามเช็ดให้เขาตลอดไปหรอก ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะคอยสร้างเรื่องอื่นอีก”
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมต้องเสียแรงไปกับเขาด้วยล่ะ สำหรับวงการบันเทิง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะก้าวมาสู่เส้นทางนี้ ความยากก็คือการรักษาภาพลักษณ์ที่ดีไว้ให้ได้ยาวนาน สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยความสามารถของทีมประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือของเขาเองด้วย”
ลู่จิ่งเซินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
“อืมใช่ คุณพูดถูก”
นิ่งไปชั่วครู่ เขาก็พูดเสริมว่า: “แต่คุณไม่ต้องกังวลนะ เขาไม่ใช่คนแบบที่คุณคิด พรุ่งนี้เมื่อเจอกันคุณก็จะรู้เอง”
“อืมค่ะ”
เที่ยงวันต่อมา จิ่งหนิงก็ได้เจอกับเซ่เซียว
ลู่จิ่งเซินสั่งให้ซูมู่จองห้องอาหารระดับไฮเอนด์ที่อยู่ใกล้กับบริษัทซูมู่ไว้ และนัดให้เขามาทานอาหารด้วยกัน เพื่อที่จะได้แนะนำพวกเขาสองคนให้รู้จักกัน
เมื่อพวกเขาไปถึง เซ่เซียวก็มาถึงอยู่แล้ว
เมื่อเขาเห็นเขาสองคนเข้ามา เขาก็รีบลุกขึ้น และทักทายลู่จิ่งเซินด้วยรอยยิ้ม
“ลูกผู้พี่ พี่มาแล้วเหรอ”
เมื่อเห็นจิ่งหนิงที่ตามลู่จิ่งเซินมาอยู่ด้านหลัง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ลู่จิ่งเซินเคยบอกเขาก่อนหน้านี้แล้วว่า วันนี้จะแนะนำคนคนหนึ่งให้เขารู้จัก ซึ่งเป็นคนที่จะทำงานประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับเขา
แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นผู้หญิง!
ต้องเข้าใจว่า ลูกผู้พี่ของเขาไม่ใช่ที่ดึงดูดของผู้หญิง!
วันนี้ถึงกับพาผู้หญิงออกมาด้วย นี่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์จริงๆ!
สายตาที่มองมาของเซ่เซียวก็เปลี่ยนไป เขายังมองไปที่ลู่จิ่งเซินด้วยสายตาที่คลุมเครือ
แต่ลู่จิ่งเซินแกล้งทำเป็นไม่เห็น
หลังจากที่ทั้งสามคนนั่งลงแล้ว ก็ได้ฟังเซ่เซียวพูดอย่างยิ้มแย้มพูดว่า: “ลูกผู้พี่ สาวงามคนนี้เป็นใครกัน แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยสิ!”
ลู่จิ่งเซินมองเขาด้วยสายตาเย็นชา และพูดเสียงเข้มว่า “ระวังคำพูดคำจาหน่อย! นี่คือพี่สะใภ้ของแก!”
“อะไรนะ”
เซ่เซียวเบิกตากว้างอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเกือบจะสงสัยว่าตัวเองมีปัญหากับการได้ยิน พี่ พี่สะใภ้งั้นเหรอ
ลูกผู้พี่ของเขาแต่งงานแล้วเหรอ
จิ่งหนิงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย กระแอมไอออกมาและพูด “เอิ่ม….เรามาคุยธุระกันก่อนเถอะ!”
“ไม่ต้องรีบ กินข้าวกันก่อนนะ”
ลู่จิ่งเซินจะยอมปล่อยให้ภรรยาของตัวเองทำงานแล้วต้องหิวได้อย่างไรกันละ
จิ่งหนิงเห็นดังนั้น ก็ไม่ดึงดันอีก เพราะถึงจะรีบแค่ไหนในเวลานี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
อีกด้านหนึ่ง เซ่เซียวก็หายจากอาการช็อกในที่สุด
เขามองไปที่ลู่จิ่งเซินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเหมือนเห็นผี และดึงมุมปากโดยไม่มีรอยยิ้ม และพูด
“พี่ ที่พี่หาคนมาแสดงแทนชั่วคราวนี่ ไม่ได้ทำเพื่อต้องการหลอกคุณปู่ลู่ใช่ไหม พี่ไม่ต้องกังวล ฉันจะไม่บอกคุณปู่ลู่หรอก ฉะนั้นพี่ไม่จำเป็นต้องหลอกฉันเลย”
ลู่จิ่งเซินจ้องเขาอย่างเย็นชา และพูด
“เซ่เซียว แกอยากโดนต่อยอีกใช่ไหม”
เซ่เซียว:……
เงียบ ท่าทางสำนึกผิดและพูด
“พี่ ใครไม่รู้บ้างว่าพี่ไม่สนใจผู้หญิง พี่ไม่ต้องห่วง นี่มันยุคไหนแล้ว ฉันเป็นคนเปิดกว้างมาก ไม่เลือกปฏิบัติกับพี่ที่ชอบผู้ชายหรอก ฉัน…อ๊า! พี่! มาตีฉันทำไม”
ลู่จิ่งเซินทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงคว้าถ้วยน้ำชาโยนออกไป
จิ่งหนิงก็หัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ
เนื่องจากรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา สำหรับเซ่เซียวเขามีภาพลักษณ์เจ้าชายผู้โศกเศร้าต่อโลกภายนอกมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่ลึกล้ำ สง่างามและเศร้าโศก ราวกับว่ามันสามารถสื่อสารออกมาได้ โดยไม่ต้องเปิดปากพูด ก็ครองหัวใจของสาวๆหลายคนได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว
จิ่งหนิงคิดเสมอว่า ถ้าเขาสามารถรักษาภาพลักษณ์นี้ไว้บนหน้าจอได้เป็นเวลาหลายปี ส่วนตัวเซ่เซียวเองก็ไม่น่าจะแย่ไปกว่านี้
แต่ไม่คาดหวังว่า ความจริงมันจะแตกต่างกัน
นิสัยแบบนี้…..เป็นคนตลกเอามากๆเลย!
เมื่อเห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้ ดวงตาของลู่จิ่งเซินก็ลึกลง ความเกลียดชังบนใบหน้าของเขาก็จางหายไปบ้างแล้ว
นิ้วเรียวเคาะพื้นโต๊ะ และพูดอย่างเย็นชา: “แกพูดเรื่องไร้สาระอีกแล้วนะ เชื่อไหมว่าฉันจะให้คนเอาเข็มมาเย็บปากของแก”