บทที่ 373 ตาKตายแล้ว
แต่ไม่นานต่อมาก็รู้ว่าเป็นใคร
ในวันนั้นจิ่งหนิงได้รับจดหมายเชิญไปงานเลี้ยงแฟชั่น
เนื่องจากงานเลี้ยงครั้งนี้เป็นแบรนด์ที่เธอชื่นชอบมาก เธอจึงตัดสินใจเข้าร่วมงาน
บังเอิญเหลือเกินที่หัวเหยา ถังลั่วเหยา เหยียนซื่อหวาและเซ่เซียว ก็เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงด้วย
แม้ทุกคนจะอยู่ในแวดวงเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วโอกาสที่จะมารวมตัวกันนั้นได้ยากทีเดียว
ดังนั้นจิ่งหนิงจึงดีใจมากและเธอก็ได้ดื่มเข้าไปหลายแก้ว
เดิมทีเธอก็ไม่ได้คอแข็งมากนัก ประกอบกับวันนี้ก่อนมาไม่ได้กินอาหารค่ำรองท้องด้วยจึงทำให้กระเพาะว่าง และเมาง่ายกว่าเดิม ดังนั้นหลังจากที่เธอดื่มเข้าไปไม่กี่แก้วก็รู้สึกมีอาการเมาขึ้นมา
จิ่งหนิงไม่ได้ดื่มเข้าไปอีก เธอขอตัวจากพวกเขาและไปห้องน้ำ
โม่หนานติดตามเธอไปด้วย วันนี้เธอสวมใส่ชุดสูทมองไปแล้วช่างเย็นชาคล้ายกับผู้หญิงที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง
จิ่งหนิงฝากกระเป๋าไว้ที่เธอและให้เธอรออยู่ด้านนอกส่วนตนเดินเข้าไปในห้องน้ำ
เนื่องจากห้องน้ำถูกปิดมิดชิด มีเพียงทางออกเดียวดังนั้น โม่หนานจึงไม่ได้กังวลอะไรและให้เธอเข้าไปเพียงคนเดียว
หลังจากที่จิ่งหนิงเข้าห้องน้ำเรียบร้อยกำลังจะล้างมือเธอ ก็รู้สึกหนาวสั่นคล้ายกับมีแววตากำลังจับจ้องเธอเหมือนเสือกำลังจะขย้ำเหยื่อ
เธอตื่นตัวและหันกลับมาอย่างกะทันหันถามขึ้นว่า “ใคร?”
ไม่ต้องรอให้เธอพูดออกมาจนจบ ก็มีมือหนึ่งเอื้อมจากด้านหลังเข้ามาปิดปากของเธอเอาไว้แล้วลากเธอไปอีกห้องหนึ่ง
ในห้องนั้นแสงไฟค่อนข้างสลัว
จิ่งหนิงถูกกดเข้าไปที่ประตู ปากของเธอถูกปิดเอาไว้ไม่อาจขยับได้
ดวงตาของเธอเบิกกว้าง แต่เนื่องจากแสงนั้นมืดเกินไปเธอจึงมองใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดเจน
ท่ามกลางความมืดได้ยินเพียงเสียงหายใจของชายคนนั้นและเสียงเต้นของหัวใจที่ดังโครมคราม
ร่างกายของเธอเกร็งไปทั้งตัว ศีรษะของชายคนนั้นเสียดสีอยู่ข้างหูของเธอคล้ายกับกำลังอดทนกับบางอย่าง ลมหายใจของเขาพ่นรถลำคอเธอมันทั้งร้อนและคัน
“sevenน้อย ไม่เจอกันตั้งนานจำผมไม่ได้แล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงเบิกตากว้างและตัวเธอสั่นอย่างแรง
เป็นเขา!!!
น้ำเสียงนี้เธอคุ้นเคยยิ่งกว่าใคร
เนื่องจากเขานั้นเคยอยู่เคียงข้างเธอ คอยช่วยเหลือและสั่งสอนเธอนับพันวัน
กล่าวได้ว่าเขาเป็นคนที่สำคัญที่สุด เป็นผู้มีพระคุณในชีวิตเธอและก็เป็น……
ศัตรูที่เธอไม่ต้องการจะพัวพันกับเขาอีกตลอดชีวิต!
จิ่งหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ
อีกฝ่ายหนึ่งหัวเราะเบาๆ
เสียงนั้นช่างนุ่มนวล แต่ไร้ซึ่งอารมณ์ใด
“มองดูแล้วsevenน้อย จำผมได้แล้วสินะ? ก็ยังดี แม้ว่าจะลืมกลิ่นของผมไปแล้วแต่ยังจำน้ำเสียงของผมได้ อย่างน้อยผมก็ไม่เสียใจมากขนาดนั้น”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็ยอมเปิดปากของเธอ
จิ่งหนิงจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง
แม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่เธอก็ยังคงจ้องเขาด้วยแววตาโมโหกัดฟันแล้วพูดว่า “คุณกลับมาทำไม?”
ชายคนนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “กลับมาหาคุณ”
“ฉันกับคุณไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว!”
“แหม ดูคุณพูดอะไรแบบนั้นล่ะ? ตอนนั้นคุณเรียกผมว่าพี่ชายอย่างหวานซึ้ง ผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเอง จำพี่ชายคนนี้ไม่ได้แล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงหัวเราะเยาะ
“ไม่มีพี่ชายคนไหนที่จะทำแบบนี้กับน้อง! อีกอย่างตอนนั้นฉันบอกกับคุณไปชัดเจนแล้วว่าหนี้บุญคุณที่ฉันติดค้างคุณไว้ ฉันได้คืนหมดแล้วและไม่เป็นน้องสาวของคุณอีก!”
ชายคนนั้นส่ายหัว น้ำเสียงของเขาดูผิดหวัง
“คุณยังคงเย็นชาเหมือนเดิม ยังคงน่าหลงใหล เห้อ! คุณบอกว่าหนี้บุญคุณที่ติดผมไว้คุณใช้คืนหมดแล้ว คงไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นใช่ไหม?sevenน้อย ตอนนั้นผมช่วยชีวิตคุณนะ หากไม่ใช่เพราะผมช่วยคุณขึ้นมาจากทะเล ตอนนี้ศพของคุณคงจะเน่าเปื่อยกลายเป็นผุยผงอยู่ใต้ทะเลไปแล้ว คุณคิดว่าเรื่องเล็กน้อยขนาดนั้นที่คุณทำเพียงพอที่จะตอบแทนบุญคุณมากมายของผมเหรอ?”
จิ่งหนิงโกรธมากเธอกัดฟันกรอดๆ
“แล้วคุณต้องการอะไร?”
ชายคนนั้นหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
เขาเอื้อมมือไปลูบหัวของเธอ
“ผมบอกแล้วไงว่าผมอยากแต่งงานกับคุณ”
ครั้งนี้เป็นจิ่งหนิงที่หัวเราะเยาะออกมา
“ขอโทษค่ะฉันแต่งงานแล้ว”
“ไม่เป็นไรผมรอให้คุณหย่าได้”
จิ่งหนิง “……”
ผู้ชายคนนี้ยังคงน่ารำคาญเหมือนเคย!
เธอไม่อยากจะสนใจเขาอีกต่อไปและหันหลังเตรียมตัวเดินออกไป
หลังจากเดินออกมาจากห้องนั้นแสงสว่างก็เพิ่มมากขึ้น ในที่สุดเธอก็สามารถมองเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน
เขาสูงมาก สูงประมาณ 188cm ส่วนสูงพอๆกับลู่จิ่งเซินแต่นิสัยแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ลู่จิ่งเซินนั้นเป็นคนที่สง่างามเท่และหล่อเหลา ส่วนเขาเป็นพวกคนชั่วร้ายแฝงไปด้วยความโหดร้าย แม้แต่แววตาของเขาก็ทำให้คนที่เห็นรู้สึกหวาดกลัว ความรู้สึกแรกเหมือนกับเขามีพิษที่ห้ามแตะต้องเด็ดขาด!
จิ่งหนิงพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ก่อนหน้านี้ของที่ส่งไปในกองถ่ายเป็นฝีมือของคุณใช่ไหม!”
ชายคนนั้นหรี่ตาลงแล้วตอบว่า “ใช่ ชอบไหม?”
จิ่งหนิงยิ้มอย่างเย็นชาแล้วบอกว่า “ดอกไม้ฉันโยนทิ้งไปแล้ว ส่วนสร้อยเงินอยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวฉันจะคืนให้คุณ”
ชายคนนั้นส่ายหัว “sevenน้อย ยังเย็นชาเหมือนเดิมเลยนะ!”
จิ่งหนิงที่กำลังจะเดินจะออกไปได้ยินคำพูดของเขาประโยคนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับมาแล้วกล่าวเตือนว่า “ฉันขอเตือนคุณไว้ก่อนนะ อย่าเรียกฉันว่าsevenน้อยอีก! ฉันไม่อยากได้ยินชื่อนี้!”
ชายคนนั้นเลิกคิ้วแล้วถามว่า “งั้นให้ผมเรียกคุณว่าเจ็ดน้อย?”
จิ่งหนิง “……”
ชายคนนั้นยืนขึ้น ดวงตาอันน่าหลงใหลและสดใสนั้นเอ่ยถามเธอว่า “เจ็ดน้อย ไม่ได้เจอกันตั้งสี่ปี คิดถึงผมไหม?”
จิ่งหนิงรู้สึกว่าอกเธอแทบจะระเบิดด้วยความโกรธ
เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้โมโหมากขนาดนี้ รู้เพียงแต่ว่าใบหน้าของเขานั้นทำให้เรื่องในอดีตลอยเข้ามาในสมองเธออีกครั้ง เธอโมโหฉันอยากจะชกเขา
เธอพูดกลับไปอย่างเย็นชาว่า “ไม่! ฉันไม่สนใจคุณ! และขอให้คุณอยู่ห่างจากชีวิตฉันและหยุดคุกคามฉันได้แล้ว!”
เมื่อพูดจบเธอก็ทำท่าเดินจากไป
ในทันใดนั้นเองชายคนนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียกเย็นว่า
“ตาKตายแล้ว!”
จิ่งหนิงชะงักลงทันที
เธอตัวแข็งทื่อ
เธอหันหลังกลับมาและมองเขาอย่างเหลือเชื่อก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “คุณว่าอะไรนะ?”
ชายคนนั้นไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกต่อไป สายตาของเขาสงบนิ่งมองไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ เขาเหมือนกับกำลังพูดเนื้อเรื่องธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง
“ตาK ตายแล้ว ถูกลอบฆ่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน คนที่ลอบฆ่าเขาน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับพวกคนที่ไล่ล่าคุณในตอนนั้น ผมพบสัญลักษณ์ดอกไม้บนร่างกายของตาK”
จิ่งหนิงตกตะลึง เธอยืนอยู่ตรงที่เดิม สมองของเธอว่างเปล่า หูของเธอได้ยินแต่เสียงดังอื้ออึง
เธอไม่อยากเชื่อเรื่องที่ได้ยินนี้ ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียวจึงได้พูดออกมาว่า
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน? เขา…… เขาอยู่ในประเทศตลอดไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึง……”
“เขาถูกฆ่าในประเทศ อีกทั้งเป็นในบ้านของตัวเอง ลูกและภรรยาของเขาอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย ฝ่ายตรงข้ามทำให้พวกเธอสลบไปเท่านั้นแต่ไม่ได้ลงมือจัดการถึงชีวิต ผมคิดว่าตาK น่าจะไปรู้ความลับอะไรบางอย่าง
จากเมื่อ 7 ปีก่อน พวกเขาน่าจะเป็นกลุ่มที่มีหลักการ และไม่น่าจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไว้ชีวิตภรรยาและลูกสาวของเขา”