บทที่ 375 เขาโมโห
เมื่อลู่จิ่งเซินเห็นดังนั้นจึงได้อธิบายกับเธอว่า”กู้ซือเฉียน ลูกชายคนที่ 2 ของกู้ฉางไห่ เป็นลูกนอกสมรสคนเดียวของเขา เนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลจึงทำให้เขาใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศเป็นเวลานาน 3-5ปีถึงจะกลับประเทศมาครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้เขาบังเอิญเจอกับคุณเข้าในห้องน้ำคุณว่ามันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า?”
จิ่งหนิงตกตะลึง
หัวของเธอมึนงงเล็กน้อย ใช้เวลานานทีเดียวกว่าเธอจะได้สติกลับคืนมา และเข้าใจในสิ่งที่ลู่จิ่งเซินบอกกับเธอ
“คุณบอกว่า。。。 เขาเป็นคนตระกูลกู้อย่างนั้นเหรอคะ?”
ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “ครับ”
จิ่งหนิงกำมือแน่น
จิ่งเซินพูดต่อไปว่า “ดังนั้น เมื่อคืนเขาพูดอะไรกับคุณ?”
จิ่งหนิงเงยหน้ามองเขา ปากเธอขยับแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลู่จิ่งเซินฟังยังไง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอและกู้ซือเฉียน ความทรงจำเก่าๆที่เธอไม่อยากจะนึกถึงมัน แต่เธอก็ไม่อยากจะโกหกเขา
จิ่งหนิงรู้สึกสับสนอยู่สักพัก ลู่จิ่งเซินนั้นรู้จักเธอดี เพียงแค่มองดูแววตาเขาก็รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
“พวกคุณรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม?”
จิ่งหนิงลังเลอยู่ช่วงคู่ก่อนที่จะพยักหน้า
“ใช่ค่ะ”
“รู้จักกันได้ยังไง?”
จิ่งหนิงไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากพูด แต่ไม่รู้จริงๆว่าจะพูดยังไง
ความทรงจำช่วงนั้นมันสับสนวุ่นวายไปหมด แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังจำได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก หากให้พูดออกมากลัวว่าคนฟังจะฟังแล้วกลายเป็นแบบอื่น
อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความลับ……
จิ่งหนิงไม่ได้พูดอะไรออกมา ลู่จิ่งเซินรอฟังอยู่สักพักก่อนที่คิ้วและดวงตาของเขาจะสงบลง
“ไม่เป็นไรครับ ผมเคารพความเป็นส่วนตัวของคุณ คุณจะบอกผมเมื่อไหร่ก็ได้ที่คุณต้องการ”
เขาพูดจบก็ลุกขึ้นไป เห็นได้ชัดว่าท่าทีของเขาไม่ได้บังคับเธอ แววตายังคงอ่อนโยนดังเดิมแต่จิ่งหนิงก็สามารถสัมผัสได้ว่าเขาโกรธอยู่เล็กน้อย
หลังจากที่ลู่จิ่งเซินจากไปแล้ว จิ่งหนิงก็เดินทางไปบริษัท
ทางซิงฮุย ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า เขาเป็นเพียงแค่เพื่อนธรรมดาที่แกล้งเธอเมื่อตอนเจอหน้ากันเท่านั้นไม่ใช่การนอกใจอะไร!
ตอนนี้ถึงอย่างไรดีเธอก็เป็นคนที่แต่งงานแล้ว อย่าว่าแต่กับลู่จิ่งเซินเลย ข่าวแบบนี้อย่างไรเสียก็ไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของเธอ
ยังดีที่กู้ซือเฉียนเพียงแค่ต้องการจะเตือนเธอ ไม่ได้ตั้งใจจะไล่ล่าเธออย่างหนัก ดังนั้นเมื่อเธอออกมาแถลงการณ์ เขาเองก็ได้พูดออกมาว่าเป็นการแกล้งกันเท่านั้น ทุกคนอย่าได้เข้าใจผิดไปพวกเขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน
บัญชีรองของกู้ซือเฉียนนั้นมีคนติดตามไม่กี่คน
แต่หลังจากที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ก็มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาติดตาม
ในที่สุดพายุลูกเล็กนี้ก็ได้บรรเทาลง
หลังจากนั้นจิ่งหนิงได้โทรศัพท์หากู้ซือเฉียนด้วยตนเองและด่าทอเขา
กู้ซือเฉียนเองก็ไม่ได้โมโหอะไรเขาได้แต่หัวเราะ และยังช่วยเธอด่าทอตัวเองอีกด้วยซ้ำ
จนจิ่งหนิงถูกคำพูดของเขาทำให้หมดความโมโห
สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ได้พูดผ่านสายโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงสบายๆว่า “ยังจำได้ไหมตอนนั้นพี่ชายสอนอะไรบ้าง? ต้องเชื่อฟังคำสั่งสอน ถ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนก็จะต้องได้รับบทเรียน sevenน้อย คงไม่อยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในตอนนี้ สูญเสียไปใช่ไหม?”
จิ่งหนิงปวดหัวมาก เธอเอามือลูบหน้าผากของตัวเองแล้วกัดฟันถามว่า “คุณต้องการอะไรกันแน่?”
กู้ซือเฉียนหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณถามผมด้วยน้ำเสียงแบบนี้ผมจะกล้าพูดความจริงกับคุณได้ยังไง?”
จิ่งหนิงหยุดนิ่ง เธอกัดฟันและพยายามระงับความโกรธเอาไว้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “โอเคถ้าอย่างนั้นเราเปิดออกพูดกันว่าคุณต้องการทำอะไรกันแน่?”
“ผมอยากแต่งงานกับคุณ แล้วคุณจะยินยอมไหม?”
จิ่งหนิง “…..”
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำไมเขาถึงชอบเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นกัน?
ท้ายที่สุดเธอกัดฟันและตะโกนออกไปว่า “กู้ซือเฉียน! คุณไปตายซะ!”
เมื่อพูดจบเธอก็ตัดสายโทรศัพท์ลง
……
ในเวลาเดียวกัน อีกสถานที่หนึ่ง
ณ กองถ่ายของชานเมืองหลวง ถังลั่วเหยาตื่นขึ้นมาแต่เช้า หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนชุดสำหรับการแสดงเรียบร้อยแล้วก็เดินถือกระเป๋ามาที่ห้องแต่งตัว
“อ้าว ลั่วเหยามาแล้วเหรอ!”
หลังจากทำงานมาด้วยกันสักพัก ช่างแต่งหน้าก็คุ้นเคยกับเธอดี ดังนั้นเมื่อเจอเธอจึงได้ยิ้มทักทาย
ถังลั่วเหยาพยักหน้าตอบรับและหยิบกล่องเล็กๆในกระเป๋ายื่นให้
“เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันไปมิลานก็เลยซื้อกลับมา ไม่ใช่ของมีค่าอะไรอย่าว่ากันนะคะ”
ช่างแต่งหน้าแววตาเป็นประกายแล้วรีบรับมันมาดู
“ไม่เลยๆ ทุกครั้งที่คุณเดินทางไปต่างประเทศร่วมงานต่างๆ ก็จะซื้อของขวัญมาฝากพวกเราทุกคน แต่คนอื่นๆไม่ได้เป็นแบบนี้เลย”
ถังลั่วเหยายิ้มขึ้น เธอไม่ได้พูดอะไรแต่หันไปแจกของที่ระลึกให้กับคนอื่นๆและให้พวกเขาส่งต่อกันไป
หลังจากแจกจ่ายเรียบร้อยแล้ว ถังลั่วเหยาจึงได้นั่งลงแต่งหน้า
เนื่องจากผิวพรรณของเธอดีอยู่แล้วดังนั้นจึงไม่ต้องรองพื้นก่อน ใช้เวลาแต่งหน้ารวดเร็วมากเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อย
เมื่อด้านนอก เรียกตัวเธอออกไปเธอก็เดินตามออกไป
ทันใดนั้นเองก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาจากด้านนอก
“พี่เสี่ยวเยว่”
“พี่เสี่ยวเยว่ มาแล้วเหรอคะ”
ทุกคนพากันลุกขึ้นต้อนรับเธอ เธอเป็นนางเอกหมายเลขหนึ่ง และยังได้รับรางวัล ถึง 3 รางวัลในปีที่แล้ว เป็นที่ชื่นชอบของผู้กำกับชื่อดังมากมายทั้งในและต่างประเทศ อีกครั้งได้ฉายานักแสดงหญิงว่าเลิงเสี่ยวเยว่
เสี่ยวเยว่อายุยังไม่มากเพียงแค่ 20 ต้นๆ แต่ด้วยความสามารถและความพยายามของเธอ จึงได้ดังทะลุฟ้า เธอแสดงหนังเพียงแค่ 3 เรื่องก็ได้รับรางวัลถึง 3 ถ้วย อีกทั้งยังแสดงได้ดีมาก เธอจึงเป็นหนึ่งในดาราหญิงไม่กี่คนที่โด่งดังและเป็นที่นิยมในแวดวงนี้
การแสดงครั้งนี้เป็นการแสดงหนังโบราณ แต่แม้ว่าจะเป็นหนังโบราณย้อนยุค แต่บทภาพยนตร์ก็มีคุณภาพสูงและ ผู้กำกับภาพยนตร์ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง
ดังนั้นแม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าเลิงเสี่ยวเยว่ถ่ายทำเฉพาะหนังโรง ไม่ถ่ายทำละครเล็ก แต่ในครั้งนี้ก็ได้รับการยกเว้น
ในเมื่อเป็นข้อยกเว้น ดังนั้นสมาชิกในกองถ่ายต่างก็ไม่กล้าที่จะขัดใจเธอ
ตอนนี้ อาจเป็นเพราะเลิงเสี่ยวเยว่นอนไม่พอเธอจึงได้นั่งหาวอยู่ที่เก้าอี้
ช่างแต่งหน้าที่รับผิดชอบดูแลเธอได้เดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้จะถ่ายฉากบาดเจ็บใช่ไหมคะ?”
เลิงเสี่ยวเยว่ พยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่ค่ะ”
คนข้างๆพูดอย่างกล้าๆกลัวๆว่า “วันนี้ลั่วเหยากลับมาจากต่างประเทศและมอบของขวัญให้กับพวกเราทุกคนเลย มีของคุณด้วยนะคะ สีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะ”
เลิงเสี่ยวเยว่ ชายตาไปมองแล้วยื่นมือออกไปรับมาเปิดดู เห็นว่าข้างในเป็นเครื่องประดับรูปทรงหอไอเฟล
เธอยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นวางมันกลับไว้ที่เดิมไม่ได้เอ่ยชมอะไร เพียงแต่ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ
ในขณะเดียวกัน ก็มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา
เธอชื่อว่าซูฉินรับบทเป็นนางรองคนที่สามของเรื่อง ที่บ้านเธอค่อนข้างมีฐานะ แต่เธอมีเทคนิคการแสดงที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ในครั้งนี้ที่ได้รับบทเล่นในละครก็เพราะเธอได้บริจาคเงินสนับสนุน
เนื่องจากฐานะทางบ้านค่อนข้างดี ดังนั้นเธอจึงหยิ่งผยองและชอบวางอำนาจ แต่เมื่อเห็นเลิงเสี่ยวเยว่ เธอก็เข้าไปทักทายด้วยความเคารพ
ต่อมาเมื่อเธอเห็นว่ามีของขวัญวางอยู่ก็เดินไปที่โต๊ะและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“แหมของขวัญนี้ ใครเป็นคนให้กัน?”