บทที่ 386 เธอบาดเจ็บ
เฟิงยี่เลิกคิ้ว มีท่าทีครุ่นคิด
ซูฉินเห็นสิ่งนั้นก็คิดแค่ว่าคำพูดของตัวเองถูกเขาใส่ใจ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งภูมิอกภูมิใจ
ส่วนทางฝั่งถังลั่วเหยา ไม่รู้เลยว่าอีกทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น
มองไปยังบ่าวไพร่ข้างหลังที่ทำผิดพลาดเนื่องจากความประหม่าตึงเครียด เมื่อถูกผู้กำกับตำหนิก็ยิ่งเครียดหนัก จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ไร้ทางออก
เธอหยุดครึ่งหนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “ผู้ช่วยผู้กำกับคะ ฉันรู้สึกว่าเขาน่าจะมีปัญหาเรื่องการแสดง ตอนนี้อาจจะเหนื่อยเล็กน้อย บวกกับความตึงเครียด ถ้ายังไงให้ทุกคนไปพักสักห้านาที เพื่อปรับสักหน่อยแล้วค่อยมาดีไหมคะ”
เมื่อผู้ช่วยผู้กำกับได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เต็มใจ
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะตอบตกลง
“ก็ได้ งั้นก็พักห้านาทีก่อนแล้วค่อยถ่ายทำต่อ!”
ถังลั่วเหยาเห็นว่าเขาตกลง ก็ยิ้มขอบคุณให้เขา จากนั้นก็เดินกลับไปหานักแสดงชายคนนั้น
เธอบอกเสียงเบาว่า “คุณค่อยไปค่อยไปนะ ไม่ต้องเครียด ความเป็นจริงแล้วน้ำลายดื่มไม่ได้ นักลงทุนก็เป็นคน กินคุณไม่ได้ ฉะนั้นคุณไม่ต้องหวาดกลัวให้มากเกินไปนักนะคะ”
นักแสดงชายคนนั้นดูเด็กยังไม่โตมากนัก คาดคะเนว่าคงเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในวงการ มันไม่ง่ายกว่าจะได้รับบทบาทที่มีบทพูดเล็กน้อยเช่นนี้
ไม่คาดคิดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามายังสถานที่ถ่ายทำ ในใจอาจคิดมากเกินไปจึงทำให้เครียดจนผิดพลาด
เขาฟังและมองเธออย่างซาบซึ้ง ก่อนจะพยักหน้า “ขอบคุณพี่ลั่วเหยา ผมจะปรับตัวเองให้ดีขึ้นครับ”
ถังลั่วเหยาจึงพยักหน้า
ช่วงเวลาต่อมา เพื่อให้เขาผ่อนคลาย ถังลั่วเหยาจึงคุยกับเขาอีกสองสามคำ
ที่จริงนักแสดงชายคนนั้นก็รู้ว่าวันนี้ตัวเองทำผิดพลาดไปมาก
ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกผิดในใจอยู่แล้ว ในเวลานี้ได้รับการคลี่คลายแบบนี้จากถังลั่วเหยา จึงรู้สึกซาบซึ้งมากโดยทันที
เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาซึ่งเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีใครเห็นในสายตา ปกติในละคร ส่วนใหญ่ก็แสดงบทบาทที่ถูกรังแก
โดนด่าไม่ตอบโต้ โดนตีไม่สู้กลับก็จบ เจอความคิดที่ดีก็ดีไป ถ้าเจอไม่ดี ก็มักจะถือว่าเป็นที่ระบายอารมณ์ให้คนอื่นเท่านั้น
ในกองถ่ายพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีสถานะ เพราะใครก็สามารถแทนที่ได้ ดังนั้นเมื่อทำสิ่งต่างๆ ก็ต้องละเอียดรอบคอบ ระมัดระวังทุกเรื่อง แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ความจริงแล้วกลับยิ่งผิดพลาดได้ง่าย
เมื่อครู่เขาเกือบจะคิดว่าผู้กำกับจะเปลี่ยนตัวเขา คิดไม่ถึงว่าจะได้พักห้านาที
เหล่านี้ล้วนเป็นเครดิตของถังลั่วเหยา
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็มองถังลั่วเหยาอย่างซาบซึ้ง แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “พี่ลั่วเหยา ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ ครับ”
ถังลั่วเหยายิ้มให้เขา “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ฉันก็เคยเป็นเด็กใหม่เหมือนกัน รู้ว่าตอนเริ่มต้นมันยากแค่ไหน เดี๋ยวเมื่อปรับตัวได้แล้ว อย่าทำผิดพลาดอีกก็พอค่ะ”
อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างหนัก
ถังลั่วเหยายิ้มพลางตบไหล่เขาเพื่อเป็นกำลังใจ
และตอนนี้ อีกด้านหนึ่ง
สีหน้าเฟิงยี่กลับไม่พอใจหนัก
เขาเปิดริมฝีปากบางส่งเสียงเย็นชา “หลี่ยู่ ฉันลงทุนเงินในละครเรื่องนี้ไปมาก เพียงเพื่อมาดูพวกนักแสดงจีบกันในกองถ่ายหรือไง”
หลี่ยู่ชะงักไป
จีบกันเหรอ
ไม่มีนะครับ!
เขามักจะเข้มงวดในกองถ่ายมาก แม้แต่การทะเลาะวิวาทก็ไม่อนุญาต แล้วใครยังจะกล้าจีบกันในนี้กันล่ะ
และอีกอย่างเขาก็จำไม่ได้ว่าในกองถ่ายมีคู่รักอยู่ด้วย!
เห็นเขาสีหน้าว่างเปล่า เฟิงยี่ก็ยิ้มเยาะเย็นชา เป็นรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกอย่างมาก
“นักแสดงหญิงในกองถ่ายสามารถช่วยขอร้องแทนนักแสดงในกองถ่ายได้งั้นเหรอ หลี่ยู่ ฉันให้เงินนายมาเชิญนักแสดงไร้ประโยชน์มาแสดงหรือไง”
จู่ๆ เขาก็โมโห มันทำให้หลี่ยู่สับสนหนัก ผ่านไปนานถึงได้สติ
เขาสีหน้าเปลี่ยนทันทีและรีบพูดว่า “คุณชายเฟิง คุณอย่าโมโห นี่ไม่ใช่เป็นเพราะคุณมาที่นี่ทุกคนเลยกดดัน ดึงนั้นจึงเครียดหรอกเหรอครับ ฮ่าๆ ผมจะไปบอกให้เดี๋ยวนี้ คราวหน้าสัญญาว่าจะไม่ทำผิดพลาดอีกครับ”
ส่วนเรื่องที่ถังลั่วเหยาปลอบคนอื่น จะเอื้อนเอ่ยออกมาสักคำเขาก็ไม่กล้าพูด
ทำได้แค่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
สีหน้าของเฟิงยี่ไม่พอใจหนัก ส่งเสียงเยาะเย็นชาออกมา
โชคดีที่นักแสดงคนนั้นได้ฟังคำพูดของถังลั่วเหยา หลังจากพักผ่อนแล้วจึงถ่ายผ่านไปได้โดยไม่เทคซ้ำอีก
ซีนสุดท้าย คือฉากต่อสู้
ที่บังเอิญก็คือ ซีนต่อสู้นี้เป็นการปะทะฝีมือกันระหว่างนางเอกรองสามซูฉินกับนางเอกรองถังลั่วเหยา
ถังลั่วเหยาเป็นนางเอกรองที่แต่งตัวปลอมเป็นชายถูกซูฉินที่สวมบทเป็นสนมหลิวเปิดเผยตัว สนมหลิวใช้เรื่องนี้ข่มขู่ โดยขอให้นางใช้ประโยชน์จากหน้าที่เข้าไปแทรกแซงราชโองการของจักรพรรดิองค์ก่อน โดยการแต่งตั้งลูกชายของตนซึ่งเป็นองค์ชายสามขึ้นเป็นรัชทายาท
เมื่อนางเอกรองไม่เต็มใจ สนมหลิวที่กำลังจะออกไปเปิดเผยความลับ จึงถูกนางขวางไว้ ทั้งคู่ต่อสู้กันในห้องลับที่ปิดสนิท จนสุดท้ายถังลั่วเหยาที่สวมบทนางเอกรองก็เป็นผู้ชนะ
ซีนต่อสู้เป็นซีนที่เป็นจุดไคลแม็กซ์ นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งในเรื่อง
ดังนั้นซีนนี้จึงสำคัญมาก
เทคนิคการแสดงนั้นได้ถูกชี้แนะไว้ล่วงหน้าแล้วโดยผู้ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ ทั้งสองคนแค่ต้องจดจำเทคนิคจำนวนท่าทางแต่ละครั้งก็พอแล้ว
จัดสถานที่ถ่ายทำเสร็จสิ้น และแล้วผู้กำกับก็สั่ง “Action!” เริ่มการถ่ายทำ!
เฟิงยี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้กำกับ มองดูถังลั่วเหยาแสดงเงียบๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาดูการแสดงของเธอในกองถ่าย ผู้หญิงแต่งตัวในชุดผู้ชาย เธอดูฉายความเป็นวีรบุรุษและให้กลิ่นอายวีรสตรีอยู่หลายส่วน
มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มรื่นรมย์
ถังลั่วเหยากับซูฉินแสดงกันอย่างจริงจังมาก จนกระทั่งสนมถูกถังลั่วเหยาตบอย่างรวดเร็ว นางเลือดออกมุมปาก แล้วหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมาดังลั่น
“สารเลว! เจ้าไม่ให้ลูกชายข้าเป็นจักรพรรดิ ต่อให้ตกนรกข้าก็จะพาเจ้าไปด้วย ตายไปด้วยกัน!”
เมื่อพูดจบก็พุ่งตัวเข้าหานางโดยไม่คิดชีวิต
ในแขนเสื้อของนางซ่อนมีดสั้นเล่มหนึ่ง ตามบทแล้วนางต้องใช้มีดสั้นนี้แทงถังลั่วเหยา แต่ในที่สุดก็ถูกถังลั่วเหยาเตะออกในตอนสุดท้าย
แต่กลับกลายเป็นว่า ตอนนั้นเอง เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
เทคนิคการแสดงเดิมคือนางควรแทงมีดสั้นทางซ้าย ถังลั่วเหยาฉวยโอกาสจับไว้แล้วตบหลังมือใส่
แต่กลับกลายเป็นว่ามีดสั้นดันพุ่งมาทางขวา
ในตอนนั้น ถังลั่งเหยาแทบจะไม่คาดคิด ดวงตาเบิกกว้าง
คิดจะหลบก็สายเกินไป แต่ที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงถอยหลังไปหนึ่งก้าว มีดสั้นยังบาดเข้าไปในแขนเสื้อของเธอ จนทำให้เกิดเลือดออก
ในสถานที่มีคนกรีดร้องขึ้นมาทันที
“กรี๊ดด มีคนบาดเจ็บ!”
เฟิงยี่เป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แทบจะพุ่งออกจากเก้าอี้ในทันที พูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “เกิดอะไรขึ้น”
ซูฉินก็เปลี่ยนสีหน้า รีบวิ่งเข้าไปหาถังลั่วเหยา
“ถังลั่วเหยา เป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม”
พูดอย่างนั้นแล้วก็ต้องการจะเช็กอาการบาดเจ็บของเธอ
แต่ถังลั่วเหยากลับขมวดคิ้วเย็นชา ก้าวถอยหลังเลี่ยงมือของเธอ
ซูฉินชะงักค้าง
และเวลานี้ เฟิงยี่ก็เดินเข้ามาดึงแขนของเธอเข้าไป
เพราะถังลั่วเหยากุมบาดแผลโดยจิตใต้สำนึก จึงมองไม่เห็นว่าบาดเจ็บแค่ไหนกันแน่ แต่เมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากระหว่างนิ้วมือแล้วก็สามารถมองออกได้ว่าบาดเจ็บมาก
ใบหน้าหล่อเหลาของเขายิ่งขุ่นข้องหนัก
“บื้อกันอยู่ทำไม ยังไม่เรียกหมออีก!”