บทที่ 393 ตรงไปตรงมา
บรรยากาศเริ่มกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง
จิ่งหนิงอ้าปากครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะต้องการที่จะพูดบางอย่างออกไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดออกไปอย่างไรดี
เธอรู้ว่าลู่จิ่งเซินกำลังแคร์เรื่องอะไร แค่บางครั้งการที่จะได้เจอหรือไม่ได้เจอนั้นเธอจะพูดอะไรได้เหรอ?
แทนที่เราจะรับปากไปแล้วทำไม่ได้ในภายหลัง ก็ควรที่จะพูดให้ชัดเจนเลยตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าเหรอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็เม้มปาก และพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่ง “ลู่จิ่งเซิน ฉันขอโทษฉันรู้ว่าคุณแคร์มันมากๆ แต่ฉันเองก็มีเรื่องที่ลำบากใจมากจริงๆ แต่ฉันรับปากคุณนะว่า หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป ฉันจะบอกทุกอย่างกับคุณ คุณช่วยรอฉันอีกหน่อยได้ไหม ?”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว
ดวงตาคู่นั้นเริ่มมืดลง และเต็มไปด้วยสายตาที่เย็นชา
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงจะยอมเปิดปากพูดขึ้นมา
“แล้วแต่เธอ”
……
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินก็เข้าสู่สภาวะสงครามเย็น
ทั้งสองคนแต่งงานกันมาปีครึ่งแล้ว มักจะตัวติดกันและอยู่ด้วยกันตลอด และครั้งนี้ก็เป็นการขัดแย้งครั้งแรกที่ใหญ่พอควร แม้กระทั่งป้าหลิวและอานอานต่างก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในความสัมพันธ์ระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง
ป้าหลิวรู้สึกกังวลและเป็นห่วงมาก เมื่อได้เห็นทั้งสองเดินเข้ามาด้วยความรู้สึกที่ไม่ลงรอยกัน
ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น คงไม่มีทางจะเป็นแบบนี้ได้
เพราะอย่างนั้นป้าหลิวจึงพยายามถาม และพูดโน้มนาวเป็นการส่วนตัว
แน่นอนว่าทั้งสองคนคงไม่ยอมพูดสาเหตุออกมา เรื่องนี้เธอเองก็เป็นแค่คนนอก ความสามารถที่จัดการได้นั้นจึงมีความจำกัด และไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้มาก
ป้าหลิวทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างหมดปัญญา ทำได้เพียงแค่แอบภาวนาให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นกลับมาดีในเร็ววัน ขอเพียงแค่ไม่ทะเลาะกันจนเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าเดิมก็พอแล้ว
ส่วนทางอีกฝั่งนั้น จริงๆแล้วจิ่งหนิงเองก็รู้ว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่
ผู้ชายคนนั้นมีนิสัยเป็นอย่างไรเธอก็รู้แก่ใจตัวเองดี ที่จริงแล้วแค่อาศัยอำนาจของเขา การที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเขาไม่จำเป็นต้องมาถามความเห็นของเธอ แต่เขาขยับก็สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมดแล้ว
แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น เพราะเขาเคารพการตัดสินใจของเธอ และให้เธอเป็นคนเลือกเอง
สถานะของเขามันระดับนี้ มีหรือที่เธอจะยอมทำให้เขาต้องผิดหวัง?
เมื่อเธอได้กลับมาคิดทบทวนอย่างละเอียด จิ่งหนิงตัดสินใจที่จะพูดความจริงกับเขา
เรื่องของกลุ่มมังกรและตาKนั้น เธอไม่รู้ว่าหลังจากที่ลู่จิ่งเซินรู้แล้วนั้น เขาจะคิดอย่างไร แต่เมื่อคิดผลลัพธ์ออกมาแล้วนั้น มันก็คงจะไม่แย่ไปมากกว่าที่เป็นอยู่หรอก ดังนั้นจิ่งหนิงจึงคิดที่จะหาโอกาสพูดทุกอย่างกับลู่จิ่งเซินอย่างตรงไปตรงมา
แต่คาดไม่ถึงเลยว่า ฝ่ายชายนั้นกลับมีปฏิกิริยาที่เกินความคาดหมายของเธอ
ไม่มีความรู้สึกแปลกใจ หรือตกใจอะไรเลย จนทำให้จิ่งหนิงไม่มั่นใจว่าเขานั้นเข้าใจในสิ่งที่เธอได้พูดหรือเปล่า
แต่ฝ่ายชายนั้นเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งดี
ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ก่อนหน้านั้นที่เธอไม่ยอมพูดออกมา เพราะอะไรเหรอ?”
จิ่งหนิงเม้มปาก ลังเลอยู่พักหนึ่งถึงจะยอมพูดออกมา “ฉันสูญเสียความทรงจำไป ฉันไม่รู้ว่าไม่กี่เดือนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาบ้าง และผ่านอะไรมาบ้าง เจอคนแบบไหนมาบ้าง และทำเรื่องอะไรไปบ้าง ในตอนที่ฉันฟื้นขึ้นมา ฉันก็ได้รับการช่วยเหลือจากกู้ซือเฉียน ไม่กี่ปีนั้น เขาคือคนที่สอนศิลปะการต่อสู้ให้ฉัน สอนฉันขับรถแข่ง เขาเคยช่วยชีวิตฉันไว้ เพราะอย่างนั้นฉันไม่มีทางที่จะลืมพระคุณของเขา แต่สำหรับฉันและเขามันมีเพียงเท่านี้ คุณเชื่อฉันใหม?”
ลู่จิ่งเซินมองไปที่เธอ และพยักหน้า“ฉันเชื่อ”
จิ่งหนิงรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
และลู่จิ่งเซินก็พูดขึ้นว่า “ตระกูลกู้นั้นก็ไม่ธรรมดา มีความลึกซึ้งพอสมควร เขาเป็นลูกนอกสมรสที่จะอาศัยอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน แน่นอนว่าคงจะผ่านมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาสามารถตั้งกลุ่มมังกรขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเองแน่นอน”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“แต่ฉันไม่ได้คิดที่จะเข้าร่วมหรือกลมกลืนกับพวกเขา แต่แค่ตอนที่ตาKเสียใจ เขาบอกว่าคนที่ลองสังหารตาKนั้น กับคนที่ไล่ล่าสังหารฉันมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ฉันอยากสืบให้แน่ชัดก่อน ลู่จิ่งเซิน…ฉันอยากรู้ว่า ในช่วงเดือนนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ ทำไมคนพวกนั้นถึงที่จะไล่ล่าฆ่าฉัน ฉันไม่อยากที่ต้องใช้ชีวิตด้วยการหลบหนีตลอดไป คุณเข้าใจฉันไหม?”
ลู่จิ่งเซินหลบเก็บซ่อนสายตาอันมืดมนและสบสนไม่ให้เธอมองเห็น
เขาพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “จิ่งหนิง เธอเคยคิดไหมว่า ที่จริงแล้วบางครั้งมันก็เหมือนกับความจริง ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรู้ทุกอย่างอย่างชัดเจนทั้งหมด บางครั้งการที่เราไม่รู้อะไรทั้งหมด มันก็เป็นข้อดีสำหรับเราเหมือนกันนะ”
จิ่งหนิงสะดุ้ง
มองเขาด้วยความงงงวย
ลู่จิ่งเซินถอนหายใจออกมา
เขายกมือขึ้นและลูบที่เส้นผมของเธออย่างอ่อนโยน พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม “อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป”
จิ่งหนิงยิ้มออกมา
“โอเคค่ะ”
“ถ้าหากต้องการความช่วยเหลือ ก็บอกฉันได้เสมอ”
“ค่ะ”
หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ จิ่งหนิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
วันนี้ในช่วงบ่าย เพราะว่าได้คุยกับฝ่ายชายเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจิ่งหนิงจึงให้ป้าหลิวและคนใช้คนอื่นๆนั้นแยกตัวออกไป
ทั้งสองคนเอนพิงโซฟาอย่างเงียบๆ พูดคุยกันอย่างเบาๆ
บางครั้งมันก็น่าประหลาดใจ เรื่องที่เราเคยพยายามหาวิธีคิดร้อยแปดพันเก้าวิธีเพื่อที่จะปกปิดมันไว้ แต่เพียงแค่เปิดปากพูดออกมา ก็เหมือนกับน้ำที่พุ่งออกมาจากเขื่อนและไหลออกไปไกลแสนไกล
ราวกับว่าไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไป
และหลังจากนั้นจิ่งหนิงก็ได้เล่าเรื่องราวของตัวเองตลอดสี่ปีที่ได้อยู่ต่างประเทศให้เขาฟัง ค่อยๆบอกเขาทุกๆสิ่งและทุกๆอย่าง
ลู่จิ่งเซินก็ฟังด้วยความนิ่งเงียบ โดยที่ไม่ขัดหรือแทรกอะไรเลย เพียงแค่ตอบสั้นๆด้วยน้ำเสียงเบาๆ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการรับรู้
เมื่อช่วงเวลาค่อยๆผ่านไป จิ่งหนิงเล่าจนเธอรู้สึกเหนื่อย และคงเป็นเพราะในใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความสบายใจ รวมทั้งชายที่อยู่ตรงหน้านั้นคือคนที่เธอไว้วางใจ ทำให้เธอค่อยๆหลับลงไปในอ้อมกอดของเขา
ช่วงเวลาที่แสนเงียบสงบ
ฝ่ายหญิงนั้นหลับในอ้อมกอดเขาอย่างสงบ ฝ่ายชายค่อยๆก้มหัวลงอย่างเบาๆ เพ่งดูความงดงามของเธอในขณะที่นอนหลับ
ดวงตาของเขาช่างลุ่มลึก
ความทรงจำในปีนั้นที่ดูเหมือนจะผ่านไปแล้ว ก็ดูเหมือนจะหวนกลับมา
เขาคิดว่าตัวเองนั้นผ่านอะไรมากมายในตลอดหลายปีนี้ ได้รับความเจ็บปวดและอันตรายมานับไม่ถ้วน หัวใจของเขามันควรจะแข็งกระด้างเหมือนก้อนหิน แต่ในตอนนี้หัวใจของเขากลับมีหลายความรู้สึกแทรกซึมอยู่
มือขนาดใหญ่ที่มีความหยาบเล็กน้อยจับไปที่มืออันขนาดเล็กอันอ่อนนุ่มของเธอ สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิในตัวของเธอ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด
จิ่งหนิง ฉันขอโทษ!
เธอนั้นได้สารภาพทุกอย่างกับเขา ในตอนที่เขายังไม่ได้เจอกับเธอนั้น เธออยู่ที่ไหนและได้เจออะไรมาบ้าง
น่าเสียดาย ที่เขาเองไม่ได้มีโอกาสพูดทุกอย่างกับเธอบ้าง สำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น รวมถึง……ในช่วงเวลาที่ความทรงจำของเธอนั้นได้หายไป ดวงตาของฝ่ายชายกลับมามืดมนอีกครั้ง
เมื่อได้คิดถึงไม่กี่ปีที่เธอต้องพยายามใช้ชีวิตคนเดียว ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และส่งข้อความออกไป
จากนั้นก็ค่อยๆจูบลงไปที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน และค่อยๆอุ้มเธอขึ้นมาอย่างเบาๆ และเข้าไปในห้องนอน
ช่วงเวลานี้จิ่งหนิงหลับอย่างสนิท
เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองเผลอหลับไป แสงสีทองอ่อนของดวงตะวันที่กำลังตกดินนั้นสาดส่องเข้ามาที่ห้อง ตั้งแต่เพดานจรดถึงพื้นพรม เธอค่อยๆหรี่ตามองและยืดตัวเล็กน้อย
คงเป็นเพราะเธอได้ยกภูเขาออกจากอก จึงทำให้สามารถนอนหลับพักผ่อนได้เป็นอย่างดี ตื่นขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงกำลังเต็มเปี่ยม รู้สึกโล่งไปทั้งตัว แต่ว่า……
ลู่จิ่งเซินหายไปไหนกันนะ?
จิ่งหนิงขยี้ตาตัวเองเบาๆ เปิดผ้าห่มลุกจากเตียงและเดินไปที่ห้องรับแขก พบว่านอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอีก
สายลมพัดผ่านเข้ามาในห้องกระทบกับหนังสือที่วางอยู่ จนได้ยินเสียงแผ่วเบา บรรยากาศเช่นนี้ก็ทำให้เกิดความเงียบเหงาขึ้นมาทันที