บทที่ 401 ประกาศพินัยกรรม
คุณท่านกวนมีสีหน้าคล้ำเครียด และภายในดวงตาเผยสายตาประชดประชันขึ้น
“ตระกูลจูเก่อของพวกคุณบอกต้องก็ต้องการ ตกลงเห็นตระกูลกวนของพวกเราเป็นอะไรหรอ? อย่าว่าแต่เด็กคนนั้นที่ตามหากลับมาไม่ได้เลย ต่อให้ตามหากลับมาได้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกคุณแม้แต่นิดเดียว! ฉันขอเตือนคุณเลย หากฉันยังมีชีวิตอยู่ อย่าคิดแย่งเด็กคนนั้นจากเรา พวกคุณต้องข้ามศพฉันไปก่อน!”
จูเก่อหลิวเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ถึงแม้เธอเป็นคุณหนูของตระกูลกวน แต่ก็มีสายเลือดของพี่ชายฉัน และเป็นผู้สืบทอดทายาทของตระกูลจื่อจินด้วย ไม่ว่าอย่างไรพวกเราไม่มีทางล้มเลิกอย่างแน่นอน!”
คุณท่านส่งเสียงหัวเราะประชดขึ้น ซึ่งดูเหมือนกับว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงโต้เถียงกับพวกเขาแล้ว
เมื่อจูเก่อหลิวเฟิงเห็นแบบนี้ก็ก้มตัวลงมาอย่างมีมารยาท และพูดขึ้นว่า : “ขออภัยที่รบกวน แต่ยังไงผมก็จะมาอีกแน่นอน”
พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
หลังจากที่เขาจากไป พ่อบ้านก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นคุณท่านกวนนั่งหน้าตาคล้ำเครียดของตรงนั้นก็รีบเดินเข้ามาทันที
“คุณท่าน เป็นอย่างไรบ้างครับ? ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ!”
คุณท่านส่ายมือเล็กน้อย แล้วยกมือชี้ไปที่ขวดยาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้น
พ่อบ้านรีบเดินไปหยิบขวดยาทันที แล้วมอบยาเม็ดให้กับเขา ไม่นานคุณท่านกวนก็เริ่มมีสีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น
“ตาโอว โทรศัพท์หาน้องหน่อย ให้เขารีบกลับมาพบฉันเดี๋ยวนี้”
“ครับ”
ไม่นานกวนจี้หมิงก็กลับมา
คุณท่านเรียกเขาเข้ามาในห้องทำงาน ทั้งสองคนอยู่ภายในห้องทั้งบ่าย ไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกันบ้าง และคิดจะทำอะไรบ้าง
วันต่อมา จิ่งหญิงได้รับบัตรเชิญจากตระกูลกวน
บอกว่ามีเรื่องสำคัญที่จะปรึกษา ทำให้เธอต้องปลีกตัวหาเวลาว่างไป
บัตรเชิญดูเป็นทางการมาก เพราะเนื้อหาเขียนได้อย่างจริงจังมาก
แต่ไม่ว่าจิ่งหนิงจะคิดยังไง แต่ก็คิดไม่ออกว่าตระกูลกวนมีเรื่องสำคัญอะไรที่เกี่ยวข้องกับเธอที่เธอต้องไปให้ได้
ในเมื่อทางนั้นเชิญชวนมาถึงขนาดนี้ ต่อให้จิ่งหนิงไม่ยินยอมก็ต้องไปร่วมงานเลี้ยง
ไม่เช่นนั้นมีปัญหาแน่นอน
ดังนั้นในคืนนี้ จิ่งหนิงจึงมาที่บ้านตระกูลกวนกับลู่จิ่งเซิน
หลังจากมาถึงตระกูลกวนก็พบว่ามีคนที่ไม่ค่อยได้เจอไม่กี่คนร่วมงานเลี้ยงด้วย
ไม่เพียงเป็นคุณท่านกวน ยังมีกวนจี้หมิง สวีหุ้ย กวนเสว่เฟย รวมทั้งผู้อาวุโสของตระกูลกวนอีกไม่กี่คน แถมมีคุณท่านลู่และคุณหญิงหชินด้วย
จิ่งหนิงรู้สึกตกใจมาก
“คุณปู่ คุณย่า พวกคุณก็มาด้วยหรอค่ะ?”
เธอเดินมาข้างคุณหญิงหลิน และซักถามอย่างสงสัยขึ้น
เมื่อทั้งสองคนเห็นเธอก็เผยสีหน้าประหลาดใจขึ้น
ก่อนที่จิ่งหนิงมา คุณท่านกวนได้บอกจุดประสงค์ต่อแขกที่เชิญมาในวันนี้ทั้งหมดต่อพวกเขาแล้ว
คุณหญิงหชินจ้องมองเธอด้วยสายตาสับสน และพูดขึ้นว่า “จิ่งหนิง ในเมื่อเธอมาแล้วก็นั่งลงก่อน อีกสักครู่หากได้ยินอะไรไม่ต้องหวาดกลัว ถึงยังไงเธอก็คือลูกสะใภ้ของตระกูลลู่ของพวกเราตลอดไป ไม่มีใครสามารถบีบบังคับเธอได้”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้งชั่วขณะ และรู้สึกแปลกใจมาก
เธอหันหน้าจ้องมองลู่จิ่งเซินด้วยสายตาซักถาม แต่ผู้ชายกลับไม่ได้ตอบอะไรเธอเลย
ด้วยความจนปัญญา จิ่งหนิงจึงทำได้เพียงนั่งลงก่อน
สองสามวันมานี้ คุณท่านกวนเริ่มมีอาการป่วยกำเริบอีกครั้ง คุณหมอสั่งให้เขานอนพักผ่อนบนเตียง และไม่ให้เดินขยับตัว
ด้วยเหตุนี้ ตอนที่ทุกคนมาถึงบ้าน คุณท่านตระกูลกวนยังคงอยู่ในห้องของตัวเองอยู่
เมื่อทราบว่าคนมากันครบ ก็ให้พ่อบ้านช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อ แล้วนั่งบนรถเข็นให้คนผลักออกไป
ไม่เจอกันสักพัก คุณท่านกวนยิ่งดูแก่กว่าเดิมมาก
คุณท่านที่เดิมทีมีท่าทางกระปรี้กระเปร่า แต่ในตอนนี้เขาถูกอาการป่วยทรมานจนร่างกายผอมซูบ มีเพียงดวงตาที่ยังคงเผยสายตาหนักแน่นดั่งคนคนอายุน้อย
เขากวาดตามองรอบบริเวณในห้องโถงหนึ่งรอบ สุดท้ายก็จ้องไปที่บนใบหน้าของจิ่งหนิง
“ทุกคนมากันแล้ว หนิงหนิง เธอก็มาด้วยเหมือนกัน”
คุณท่านเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ส่วนจิ่งหนิงก็ลุกขึ้นยืน
“คุณปู่กวน…..”
คุณท่านกวนรีบส่ายมือเล็กน้อย
“นั่งเถอะ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากหรอก คิดเสียว่าเป็นบ้านของตัวเอง”
จากน้ำเสียงของคุณท่าน จิ่งหนิงฟังออกว่าเขามีความเหนื่อยล้า ถึงแม้พยายามฝืนตัวเองให้มีท่าทางกระปรี้กระเปร่า แต่ก็ยังมองเห็นว่าอาการของเขาแทบไม่ดีเลย
เธอซักถามด้วยความกังวลว่า : “คุณปู่กวน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”
“ฉันไม่เป็นอะไร โรคคนแก่แบบนี้แหละ ยังไหวๆ”
ขณะที่เขาพูดก็เงยหน้ากวาดตามองรอบบริเวณ แล้วพูดขึ้นว่า : “ที่เรียกทุกคนมาในวันนี้ ผมมีเรื่องสำคัญหนึ่งอยากจะประกาศ พี่ลู่ พี่กับพี่สะใภ้ช่วยเป็นพยานให้ด้วยนะครับ หากในอนาคตมีใครคัดค้าน พวกคุณจะได้ช่วยผมจัดการ”
คุณท่านลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่วนคุณหญิงหชินก็เผยสีหน้าลังเลขึ้นเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็รับปาก
“นายว่ามาเลย! พวกเราเป็นพยานให้กับนายแล้ว”
“โอเค”
คุณท่านกวนโบกมือไปข้างหลัง และเห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างหลัง
จิ่งหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เธอจำผู้หญิงคนนี้ได้ ถ้าหากจำไม่ผิด งานเลี้ยงของคุณท่านเมื่อก่อน เธอเคยเจอผู้หญิงคนนี้มาก่อน ได้ยินมาว่าเป็นสาวใช้ของกวนจี้หวั่น หลังจากกวนจี้หวั่นเสียชีวิตก็อยู่ที่บ้านตระกูลกวนมาตลอด ซึ่งถือว่าเป็นผู้ใหญ่ของตระกูลกวนคนหนึ่ง
เห็นเพียงผู้หญิงคนนั้นเอาเอกสารฉบับหนึ่งมอบให้ในมือของคุณท่านกวน แล้วคุณท่านกวนก็เอาเอกสารให้กับทนายความคนหนึ่ง ให้ทนายความคนนั้นฉีกเปิดเอกสารด้วยตัวเอง จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่จิ่งหนิง
“ที่ผมเรียกทุกคนมาวันนี้ ผมอยากประกาศพินัยกรรม หลังจากผมเสียชีวิต พวกคุณต้องดำเนินการตามพินัยกรรมของผม หากมีข้อผิดพลาด”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนี้ก็เผยสีหน้าตกใจขึ้น
คุณท่านกวนมีอาการไม่ค่อยแข็งแรงมาสองวันแล้ว และได้ยินมาว่าเขาเหลือเวลาไม่มากแล้วด้วย
แต่เรื่องพินัยกรรม ถือเป็นเรื่องภายในตระกูลของตระกูลกวน นับตั้งแต่กวนจี้หลี่ถูกเนรเทศออกจากประเทศ ในตอนนี้ตระกูลกวนมีผู้สืบทอดทายาทเหลือไม่กี่คนแล้ว และคนที่มีความสามารถก็เหลือเพียงกวนจี้หมิงเพียงคนเดียว
ในตอนนี้ทุกคนล้วนนิ่งเงียบ ในอนาคตตระกูลกวนจะมีกวนจี้หมิงที่บริหารเพียงคนเดียว ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กวนซื่อกรุ๊ปก็มีกวนจี้หมิงเป็นคนรับผิดชอบโดยชอบธรรมทั้งหมดอยู่แล้ว
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ในอนาคตทุกอย่างของตระกูลกวนก็คงตกเป็นของกวนจี้หมิงคนเดียว แล้วทำไมยังต้องประกาศพินัยกรรมต่อหน้าผู้คนด้วยล่ะ?
ทุกคนต่างรู้สึกมึนงง ไม่เพียงแค่คนเหล่านั้น แม้แต่จิ่งหนิงยังต้องขมวดคิ้วสงสัยเลย
เธอรู้สึกเพียงว่า การประกาศพินัยกรรมของตระกูลกวนเป็นเรื่องของตระกูลกวน ทำไมต้องบอกคนอื่นด้วย
อีกอย่างคุณท่านลู่กับคุณหญิงหชินก็ต้องมาเป็นพยานรับทราบด้วย
แต่เธอกับลู่จิ่งเซินเป็นคนละรุ่น สำหรับเรื่องทรัพย์สินของตระกูลกวนแล้ว แทบไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย
คุณท่านกวนตั้งใจเชิญพวกเขามาเพื่ออะไรหรอ?
ในใจมีเรื่องสงสัยเยอะมาก คนก็มาถึงแล้ว และตัวเองก็ไม่สามารถจากไปแล้วด้วย
จิ่งหนิงจึงทำได้เพียงนั่งและตั้งใจฟังต่อไป
จากนั้นก็เห็นคุณท่านกวนส่งสัญญาณสายตาต่อทนายความ และพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทนายความก็ประกาศพินัยกรรมขึ้น