บทที่ 404 ความจริง
จิ่งหนิงพยักหน้าเล็กน้อย
คุณท่านกวนมีเจตนาดี ซึ่งเธอสัมผัสได้
ไม่ว่าก่อนหน้านี้เคยทำอะไรยังไงต่อเธอ แต่อย่างน้อยหลังจากรู้ความจริงว่าเธอเป็นลูกที่หายไปของกวนจี้หวั่น เขาก็ปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนละคนเลย
เพียงแต่…..
เมื่อเธอนึกถึงการตายของตาKก็เผยสายตามืดครึ้มขึ้น
“อ้าเซิน ไม่ว่าตระกูลจูเก่อมีความซับซ้อนมากแค่ไหน ฉันก็อยากลองสืบดูสักหน่อย”
ลู่จิ่งเซินรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่ว่าจิ่งหนิงมีเรื่องอะไรล้วนชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเขา ดังนั้นเธอคิดจะทำอะไร เขาย่อมรู้
ผู้ชายเผยสายตากังวลเล็กน้อย พร้อมโอบกอดเธออย่างแน่น
“โอเค คุณอยากลองดูก็ลองเลย อย่างอื่นไม่ต้องกังวล มีผมอยู่ทั้งคน”
จิ่งหนิงหัวเราะเล็กน้อย
“ค่ะ”
คุณท่านกวนนับวันยิ่งมีอาการทรุด
นับตั้งแต่ประกาศพินัยกรรม วันต่อมาตกอยู่ในสภาวะหลับหมดสติ
คุณหมอบอกว่า อวัยวะภายในสำคัญหลายอย่างในร่างกายของเขาเริ่มชราภาพมากแล้ว หากตอนนี้ไม่ได้พึ่งพากระบวนการทางเทคโนโลยีขั้นสูง เกรงว่าคงจะรักษาชีวิตไม่ได้
จิ่งหนิงไปเยี่ยมครั้งหนึ่ง แต่คุณท่านกวนยังไม่ฟื้น แต่นอนหมดสติอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าขาวซีด เพียงแค่คืนเดียวเขาเหี่ยวเฉาขนาดนี้เลย
ตอนออกมา เธอพบกับกวนจี้หมิง
เป็นเพราะไม่คาดคิดจะเจอเธอ ตอนที่เห็นเธอ กวนจี้หมิงเลยเผยสีหน้าเกินคาดขึ้น
จากนั้นก็ยิ้มแย้มอย่างเบิกบานใจ
“หนิงหนิง เธอมาแล้วหรอ”
จิ่งหนิงหยักหน้าเล็กน้อย และพูดว่า : “ลุงสอง ตอนนี้คุณมีเวลาว่างไหม? ฉันอยากคุยกับคุณสักหน่อย”
กวนจี้หมิงนิ่งอึ้งชั่วขณะ แล้วหันหน้ามองเวลา และพยักหน้าเล็กน้อย
“ได้ ชั้นล่างมีร้านกาแฟ พวกเราไปนั่งคุยตรงนั้นกันเถอะ”
จิ่งหนิงเห็นด้วย
ดังนั้นตอนที่ทั้งสองคนออกจากโรงพยาบาลก็เดินไปที่ร้านกาแฟชั้นล่าง และหาที่นั่งติดหน้าต่างนั่งลง
กวนจี้หมิงไม่รู้เลยว่าจิ่งหนิงต้องการคุยกับเขาเรื่องอะไร เขาก็ไม่ได้เร่งรีบ แต่รอเธอเอ่ยปากพูดก่อนอย่างใจเย็น
จิ่งหนิงลังเลอยู่สักพัก และซักถามขึ้นว่า : “ฉันอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับกวนจี้หวั่น….แม่ของฉันมากกว่านี้หน่อยค่ะ”
กวนจี้หมิงนิ่งอึ้ง แต่เมื่อได้ยินเธอเรียกขานกวนจี้หวั่นว่าแม่ก็รู้สึกเบิกบานใจขึ้น
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคงกังวลว่าจิ่งหนิงจะไม่ยอมรับฐานะของตัวเอง แต่ดูเหมือนตอนนี้ พวกเขาคงสบายใจได้แล้ว
“โอเค เธออยากรู้เรื่องอะไรหรอ? ฉันจะบอกเธอเอง”
จิ่งหนิงครุ่นคิดสักพัก และซักถามว่า : “เธอเป็นคนแบบไหนหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ กวนจี้หมิงก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าขึ้น
“อันที่จริงเธอเหมือนกับคุณมาก เป็นคนสวย อ่อนโยน ภายนอกอาจดูเย็นชา แต่ความจริงแล้วเป็นคนให้ความสำคัญต่อความรู้สึกมาก เป็นคนกตัญญู ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างดี อีกอย่างเป็นคนเก่งมากด้วย จริงสิ เธอคงยังไม่รู้? เมื่อก่อนเธอเป็นจิตรกร วาดภาพเยอะมาก เพียงแต่เพราะร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เลยไม่ได้วาดภาพอีก”
จิ่งหนิงพยักหน้าเล็กน้อย
“ในห้องของเธอยังคงเก็บรักษาสิ่งของทุกอย่างเหมือนเดิมจนถึงตอนนี้ หากวันไหนที่เธอว่าง กลับมาบ้านนะ เดียวฉันพาไปดู?”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้ง และฝืนยิ้มขึ้น
“ค่ะ”
เธอหยุดนิ่งชั่วขณะ และซักถามขึ้นว่า : “ฉันได้ยินมาว่าเธออกหักจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรอค่ะ งั้นคุณรู้จักผู้ชายคนนั้นไหมค่ะ ทำไมพวกเขาถึงต้องแยกจากกันด้วย?”
กวนจี้หมิงนิ่งอึ้งเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเธอจะถามคำถามนี้
เขาครุ่นคิดสักพัก และพูดว่า : “หากพูดตามหลักการแล้ว คำถามนี้ผมไม่ควรตอบคุณ แต่ในเมื่อเธอถามแล้ว ผมก็จะตอบให้คุณ”
ขณะที่พูด เขาก็เล่าเรื่องความรักของกวนจี้หวั่นกับชายคนนั้นในตอนนั้น
ความเป็นจริงแล้วคือ ตอนที่กวนจี้หวั่นไปเรียนต่อต่างประเทศ รู้จักจูเก่อยู่ ลูกชายคนโตของตระกูลจูเก่อ
ทั้งสองคนหน้าตาดีและมีความสามารถ จึงรักกันตั้งแต่แรกพบ ไม่นานทั้งสองคนก็คบกัน
ในตอนนั้นกวนจี้หวั่นยังไม่รู้ฐานะของเขา นึกว่าเขาเป็นคุณชายของตระกูลสูงส่งตระกูลหนึ่ง เพราะมีคำนำหน้าตระกูลว่าจูเก่อ ดังนั้นต้องเป็นตระกูลใหญ่แน่นอน
ส่วนกวนจี้หวั่นถือเป็นคุณหนูของตระกูลสูงส่ง เธอถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ดังนั้นจึงไม่สนใจเรื่องเงินทอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ปราณนาเรื่องเงิน
แต่คิดไม่ถึงว่า ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินข่าวว่าจูเก่อยู่มีคู่หมั้นมาตั้งนานแล้ว แถมที่บ้านยังบังคับให้เขากลับมาแต่งงานด้วย
เมื่อกวนจี้หวั่นทราบข่าวก็ตกใจ จนแทบไม่เชื่อเลยว่าจูเก่อยู่หลอกลวงตัวเอง
เธอไปหาจูเก่อยู่ และให้เขาอธิบายเรื่องข่าว จูเก่อยู่ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความจริง และยังบอกเลิกกับเธอด้วย
คนที่รักมากสุดหัวใจ แท้จริงแล้วเป็นคนหลอกลวงตัวเอง อีกอย่างตัวเองกลายเป็นชู้โดยไม่รู้ตัวด้วย
เรื่องนี้สร้างบาดแผลลึกทางจิตใจต่อกวนจี้หวั่นผู้ที่มีความทระนงตัวเป็นอย่างมาก
เธอกลับประเทศอย่างเงียบ และยังขังตัวเองอยู่ในห้องไม่กินไม่ดื่มอะไรหนึ่งสัปดาห์
ตอนแรกคิดว่าความรู้สึกคงจางหายไปเอง นี่คงเป็นแค่ความเจ็บปวดของวัยรุ่น
คนเลว ตอนวัยรุ่นมีใครบ้างไม่เคยพบจริงไหม?
เมื่อเวลาผ่านไป เดียวคงปล่อยวางเอง
แต่คิดไม่ถึง ผ่านไปไม่กี่เดือน ตอนที่กวนจี้หวั่นสามารถปล่อยวางผู้ชายคนนั้น เธอก็ต้องมาประสบกับการลอบฆ่า
โชคดีที่กวนจี้หวั่นเป็นคุณหนูตระกูลสูงส่ง และเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง แต่กลับต้องมาพบเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก
คุณท่านกวนโมโหเดือดดาลมาก หลังจากสืบก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้มีอิทธิพลจากข้างนอก นั้นคือตระกูลจื่อจิน
ที่แท้คนที่จ้างคนมาลอบฆ่ากวนจี้หวั่นคือคู่หมั้นคนนั้นของจูเก่อยู่
ถึงแม้จูเก่อยู่เลือกจากเธอไปเพื่อรักษาความปลอดภัยของกวนจี้หวั่น แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมวางใจ ยังคงหวาดระแวง ดังนั้นจึงเลือกลอบฆ่าเธอ
แต่น่าเสียดาย ก่อนที่จะลงมือ เธอไม่ได้สืบฐานะของกวนจี้หวั่นอย่างแน่ชัด นึกว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
เรื่องนี้ไม่เพียงสร้างความโกรธต่อคุณท่านกวน แท้แต่จูเก่อยู่ก็โกรธเคืองเหมือนกัน
จูเก่อยู่จึงตัดสินใจยกเลิกงานหมั้น โดยไม่สนใจการคัดค้าน แล้วมาที่ประเทศหัวเพื่อมาขอโทษกวนจี้หวั่น
เดิมทีกวนจี้หวั่นมีความโกรธอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ยอมให้อภัยเขาอย่างง่ายดาย
เพราะในเรื่องนี้ เธอถือเป็นคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อีกอย่างเธอรับไม่ได้ที่เขาหักหลังและหลอกลวงเธอ
จูเก่อยู่ไม่รีบร้อน เขาอยู่เคียงข้างเธอมาตลอด เธอไปไหน จูเก่อยู่ก็ตามไปทุกที่
ไม่เพียงกวนจี้หวั่นไม่รู้สึกรำคาญแล้ว ขณะเดียวกันยังรู้สึกดีใจมากด้วย
เพราะเคยเป็นคนที่ตัวเองเคยรักมาก ดังนั้นมีใครบ้างที่ไม่ใจอ่อน?
แต่ในตอนนั้น เธอได้ยินข่าวหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นมาหาเธอด้วยตัวเอง และมาบอกเรื่องที่น่าตกใจหนึ่งกับเธอ
บนโลกใบนี้ ใครก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องน่าหวาดกลัวถึงขนาดนี้
ที่ตระกูลจูเก่อสามารถพัฒนาจนถึงตอนนี้ ทุกคนคิดว่าพวกเขาพึ่งพาจากทรัพย์สินของบรรพบุรุษ และความสามารถของพวกเขา
แต่หลังจากวันนั้น กวนจี้หวั่นเพิ่งรู้ว่ากวนจี้หวั่นเพิ่งรู้ว่าตระกูลจื่อจินไม่ได้เป็นตระกูลที่มีทรัพย์สินมั่งคั่ง
ลูกหลานของตระกูลจื่อจิน ตอนเกิดแต่ละคนจะถูกเลือกคู่หมั้นไว้เรียบร้อยแล้ว