บทที่ 409 น้องชาย
ดังนั้นเขาจึงหรี่ตา และพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ภรรยากำลังโกรธ คงไม่พอใจกับการกระทำของผมเมื่อกี้แน่เลย ผมคงต้องทำอีกครั้ง คุณถึงจะพอใจ”
“ไม่ไม่ไม่ ฉันพอใจมากแล้ว ฉันไม่โกรธแล้วด้วย”
จิ่งหนิงรีบเปลี่ยนคำพูด กลัวเขาทำอีกครั้ง
ลู่จิ่งเซินยิ้มจางๆ “ไม่โกรธจริงหรอ?”
“จริงค่ะ” จิ่งหนิงพยักหน้าอย่างแรง
“อืม เชื่อฟัง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้ชายก็ปล่อยเธอออก แล้วหยิบเสื้อที่อยู่ด้านข้างขึ้นพลาง พูดพลางว่า : “คุณนอนพักก่อนเถอะ เดียวผมจะสั่งให้ป้าหลิวเรียกคุณตอนกินอาหารเที่ยง”
จิ่งหนิงห่อตัวในผ้าห่ม และซักถามว่า : “คุณจะไปไหนหรอ?”
ลู่จิ่งเซินยักคิ้วเล็กน้อย แล้วเดินเข้ามาหรี่ตา และพูดขึ้นว่า “ทำไมหรอ? ทำใจผมจากไปไม่ได้แล้วหรอ?”
จิ่งหนิงเบิกตากว้างมองเขา “เปล่าสักหน่อย อย่าคิดไปเอง”
ขณะที่พูดก็กำผ้าห่มอย่างแน่น พร้อมเผยท่าทางหวาดระแวง
เมื่อลู่จิ่งเซินเห็นท่าทางที่เธอหวาดกลัวว่าตัวเองจะกินก็เก็บรอยยิ้มลง
แล้วยื่นมือลูบบนหัวของเธอ และพูดขึ้นว่า : “เดียวผมออกไปทำธุระสักครู่ คุณพักผ่อนก่อน เดียวคืนนี้ผมกลับมารับคุณ”
จิ่งหนิงตอบอืมเบาๆขึ้น
ลู่จิ่งเซินไม่สนใจอีก รีบเดินออกไปทันที
ตอนกลางคืน งานปาร์ตี้วันเกิดของเฟิงยี่กำหนดที่คฤหาสน์ริมทะเล
ไม่มีคนนอก แขกล้วนเป็นญาติมิตร ดังนั้นจึงไม่มีความเก้อเขิน
คนกลุ่มหนึ่งนั่งปิ้งย่าง ดื่มเหล้าบนโซฟา จี้หลินยวนพาหัวเหยา ส่วนจี้หยุนซูพากวนเสว่เฟย และเซ่เซียวมาด้วย ในงานบรรยากาศจึงคึกคักมาก
เฟิงหลินพี่ใหญ่ของตระกูลเฟิง ซึ่งเป็นพี่ชายของเฟิงยี่ก็มาเหมือนกัน
เป็นครั้งแรกที่จิ่งหนิงพบกับเฟิงหลิน จิ่งหนิงก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าเขาคนนี้เป็นคนไม่ชอบพูดเล่น แถมยังเคร่งขรึมด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะอายุที่แตกต่าง เพราะเขามีอายุมากกว่าลู่จิ่งเซินและเฟิงยี่มากกว่าสิบกว่านี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงดูสุขุมเยือกเย็น
แต่หลังจากได้สัมผัสก็พบว่า ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่คนกระตือรือร้น แต่เป็นคนกันเอง ไม่มีมาดของผู้ใหญ่
แต่คนที่จิ่งหนิงสนิทสนมมากที่สุดในงานคือเซ่เซียว
เพราะอยู่ในวงการบันเทิงด้วยกัน แถมเซ่เซียวยังรู้จักเธอก่อนพวกนั้นด้วย ดังนั้นตอนเห็นเธอก็เรียกพี่สะใภ้สองทันที
เฟิงยี่ที่อยู่ด้านข้างเอาแต่หัวเราะเขาตลอดเวลา เซ่เซียวไม่ยอม จึงให้เฟิงยี่เรียกเหมือนกัน ซึ่งเดิมทีเฟิงยี่ก็เรียกจิ่งหนิงว่าพี่สะใภ้อยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ต่อหน้าเซ่เซียวกลับไม่ยอมทำตามความต้องการของเขา ดังนั้นจึงไม่ยอมปริปากพูด
เมื่อเซ่เซียวเห็นแบบนี้ก็ไปฟ้องลู่จิ่งเซิน แต่ลู่จิ่งเซินกลับหยิบไม้ถูมาตีหัวของเขา จนเซ่เซียวตะโกนร้องด้วยความตกใจ
“พี่สะใภ้สอง คุณดูพวกเขาสิ รังแกผม คุณต้องมาช่วยผม”
จิ่งหนิงพยายามหัวเราะท้องแข็ง เซ่เซียวทนไม่ไหวเดินเข้ามาลากเธอ “พี่สะใภ้สอง หยุดหัวเราะได้แล้ว รีบมาช่วยผมเอาคืนหน่อย”
ลู่จิ่งเซินตบบนมือของเขาออก และพูดว่า : “ทำอะไร? เธอคือภรรยาของฉัน แล้วจะช่วยนายได้ยังไง?”
เซ่เซียวโมโหจนหน้าแดงก่ำ “ผมรู้ว่าเธอคือภรรยาของคุณ แต่เธอก็เป็นพี่สะใภ้ของผมเหมือนกัน!”
ขณะที่พูดก็เดินลากจิ่งหนิง
จิ่งหนิงถูกเขาก่อกวนแทบจนปัญญา สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้นจ้องมองลู่จิ่งเซินกับเฟิงยี่ แล้วแสร้งแกล้งทำเป็นโมโห : “พวกนายหยุดรังแกเซ่เซียวได้แล้ว เขาอายุน้อยสุด พวกนายต้องรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่”
เซ่เซียวรีบพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ใช่ ผมเป็นน้องชาย หากพูดตามหลักการพวกพี่ควรเอ็นดู ทะนุถนอมผม ไม่ใช่มารังแกผมแบบนี้?”
เฟิงยี่พยายามกลั้นหัวเราะ ด้วยการกระแอม แต่สุดท้ายเขาก็หัวเราะพลาง และพูดพลางว่า : “ใช่ใช่ใช่ เขาเป็นน้องชาย”
เมื่อเซ่เซียวได้ยินแบบนี้ เขาก็รู้ว่าตัวเองถูกเยาะเย้ยอีกครั้ง เลยจ้องมองเขาด้วยสายตาอาฆาต
“ดูสิ หัวเราะคนอื่นจนจะสำลักตายแล้ว เวรกรรมตามสนอง!”
จิ่งหนิงรู้สึกจนปัญญา เลยเดินไปหยิบขวดน้ำให้เฟิงยี่ดื่ม
เฟิงยี่กล่าวขอบคุณ แล้วดื่มน้ำ แต่จู่ๆก็ได้ยินเซ่เซียวพูดขึ้นว่า : “เฟิงยี่ วันนี้ทุกคนล้วนพาแฟนมาร่วมงาน ทำไมนายถึงไม่มีล่ะ? แล้วน้องสมัยเด็กคนนั้นของนายล่ะ?”
เฟิงยี่เปลี่ยนสีหน้าทันที แล้วเหลือบตามองจิ่งหนิงแวบหนึ่ง จากนั้นก็เบิกตากว้างจ้องมองเซ่เซียว
“พูดจาเหลวไหล น้องสมัยเด็กอะไรกันล่ะ”
“เห่อ คิดจะปกปิดผมหรอ? ผมรู้มาตั้งนานแล้ว แล้วน้องแซ่ถังคนนั้นล่ะ ได้ยินมาว่าจะเป็นลูกสาวของลูกน้องคุณลุงเฟิงมาก่อนนะใช่ไหม? ทำไมวันนี้เธอไม่มาล่ะ?”
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะ และพูดว่า : “ใช่ เฟิงยี่ นายควรเชิญลั่วเหยามาร่วมงานด้วยนะ”
เมื่อเฟิงยี่เห็นทุกคนเอาตัวเองมาหยอกเล่นก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
“ผมชวนเธอแล้ว แต่ในตอนนั้นเธอไม่ได้รับปาก ไม่รู้ว่าคืนนี้เธอจะมาร่วมงานหรือเปล่า?”
พูดจบ เขาก็หันหน้ามองเซ่เซียว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า : “น้องเซ่ ฉันขอเตือนนายว่า นายอย่ามาเรียกฉันว่าเฟิงยี่ ฉันอายุมากกว่านาย นายต้องเรียกฉันว่าพี่สาม”
เซ่เซียวเผยสีหน้าดูถูกขึ้น “พอได้แล้วมั้ง นายแก่กว่าฉันแค่ไม่กี่เดือนเอง กล้ามาให้ฉันเรียกนายว่าพี่หรอ”
“ไม่กี่เดือนก็ถือว่าแก่กว่า เรียกเร็ว!”
“ไม่เรียก!”
“นายจะเรียกไหม?”
“ไม่เรียก!”
เฟิงยี่กระโจนเข้ามาล้มเซ่เซียวตกลงบนโซฟา จากนั้นทั้งสองคนก็ทุบตีกัน
จิ่งหนิงนั่งปิ้งเนื้ออยู่ข้างหน้ากองไฟ และมองดูพวกเขาสองคนหยอกเล่นกัน จนอดใจไม่ได้หัวเราะออกมา
ช่างเป็นพี่น้องที่รักกันจริงๆ
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าคุณชายที่สูงส่งมีมุมหยอกเล่นสนุกสนาน
เหมือนกับเด็กไม่รู้จักโตด้วย
จิ่งหนิงอมยิ้ม และมองดูพวกเขา แต่เมื่อสังเกตเห็นเนื้อในมือของตัวเองสุกก็รีบยกขึ้นมาวางในถาด แล้วยื่นให้กับลู่จิ่งเซินที่อยู่ด้านข้าง
“ให้คุณค่ะ”
เธอยื่นถาดให้กับเขา แต่กลับหันหน้าเห็นเขากำลังจ้องมองตัวเองอยู่
ดวงตาของเขามีความลึกซึ้งมาก จิ่งหนิงรู้สึกว้าวุ่นใจ สุดท้ายใบหน้าแดงก่ำทันที
“คุณมองฉันทำไมหรอ?”
เธอก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาจากเขา
ลู่จิ่งเซินยิ้มมุมปาก แล้วยื่นมือรับถาด และพูดว่า : “ก็เพราะภรรยาของผมสวยไง”
จิ่งหนิงใบหน้าแดงก่ำทันที แม้กระทั่งใบหูก็แดงเหมือนกัน
เธอตั้งมือรับคำพูดหวานหยาดเยิ้มของผู้ชายไม่ทัน จึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อคุย
“จริงสิ ฉันชอบได้ยินพวกคุณมักเรียกกันว่าพี่สองพี่สามน้องสี่ คุณคือพี่น้อง แล้วพี่ใหญ่คือพี่เฟิงใช่ไหมค่ะ?”
ลู่จิ่งเซินส่ายหน้า
“เฟิงหลินอายุมากกว่าผมสิบปี ตอนเด็กๆพวกเราชอบเล่นโคลนกันมาก แต่จากนั้นเขาถูกลุงเฟิงทิ้งไว้ในกองทหาร พวกเราเลยเล่นด้วยกันไม่ได้อีก เลยไม่ค่อยสนิทสนมกัน”
“แบบนี้นี่เอง แล้วพี่ใหญ่ของพวกคุณคือใครหรอ? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
มือที่เตรียมหยิบตะเกียบของลู่จิ่งเซินเกร็งชั่วพริบตา
จิ่งหนิงสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา เลยซักถามด้วยความสงสัยว่า : “มีอะไรหรอ?”
ลู่จิ่งเซินส่ายหน้า แล้วสายตากลับคืนเป็นปกติ จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้น และพูดว่า : “เขาตายแล้ว”
จิ่งหนิงตกใจไม่ทันระวังตัว จนมือสัมผัสกับขอบกองไฟ
“อ่า”
เธอรีบลุกขึ้นยืน ส่วนลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว แล้วทิ้งถาดลง พร้อมกับยืนขึ้น และดึงมือของเธอ
“ทำไมไม่ระวังตัวแบบนี้?”