บทที่ 417 แอบใส่ร้ายป้ายสี
คำพูดของคุณหญิงย่า ทำให้ซูหยุนแก้มแดงนิดๆ เขินอายจึงแลบลิ้น
มีคุณหญิงท่านหนึ่งช่วยเธอแก้ต่างให้เธอว่า “หยุนหยุนยังกำลังเติบโตอยู่ไงคะ ชอบอาหารการกินเป็นเรื่องที่ดี”
“พวกคุณก็ เอาใจเธอตลอดเลยนะ!”
ทั้งกลุ่มหัวเราะกันอย่างมีความสุข ไม่นานนัก คนรับใช้มาแจ้งว่าจัดเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงย่าจึงเชิญทุกคนไปรับประทานอาหารกันที่ห้องอาหาร
เข้าไปถึงห้องอาหารกันแล้ว จิ่งหนิงได้เห็นลู่จิ่งเซิน ขณะเดียวกันก็เห็นหนุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของลู่จิ่งเซิน
นั่นคือหนุ่มวัยรุ่นที่ตัวขาวซีดเซียวดั่งหยกคนหนึ่ง อายุประมาณสิบแปดสิบเก้า แววตาสดใส มีมารยาทเรียบร้อย รูปร่างผอม เพราะป่วยมานานหลายปี สีหน้าซีดเซียวอย่างผิดปกติ นั่งอยู่บนวีลล์แชร์ มีคนรับใช้คนหนึ่งกำลังเข็นเดินหน้า
มองดูแล้วเขากับลู่จิ่งเซินสนิทสนมกันมาก นั่งอยู่บนวีลล์แชร์ กำลังยิ้มพูดกับลู่จิ่งเซินอะไรบางอย่างอยู่ ลู่จิ่งเซินก็มีความอดทนเป็นพิเศษ กระทั่งเอียงหัวเล็กน้อย ฟังเขาพูดจา
“เย่ไป๋ มานี่ ฉันแนะนำอะไรให้” คุณหญิงย่าเอ่ยปาก
หนุ่มวัยรุ่นที่ชื่อเย่ไป๋ให้คนรับใช้เข็นเขาเข้าไป คุณหญิงย่าดึงตัวจิ่งหนิง และกล่าวว่า: “นี่คือภรรยาของพี่ลู่ของแก ก่อนหน้านั้นแกป่วยอยู่ตลอด ไม่ทันกลับไปเยี่ยมญาติกับฉันด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้เจอกับเธอ ตอนนี้ได้เจอแล้ว ก็ยังไม่สาย”
เย่ไป๋ยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย “อาซ้อสวัสดีครับ”
จิ่งหนิงก็พยักหน้าตอบอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ”
“นี่คือของขวัญที่ผมซื้อกลับมาจากเมืองเมลเบิร์น ไม่สามารถกลับไปเยี่ยมพวกคุณ ต้องขอโทษด้วยครับ ของขวัญชิ้นนี้แทนเป็นคำขอโทษละกันครับ”
พูดแล้ว เย่ไป๋หยิบของขวัญกล่องหนึ่งออกมาจากด้านหลัง ยื่นไปตรงข้างหน้าของจิ่งหนิง
จิ่งหนิงรู้สึกตะลึง
ซูหยุนรู้สึกไม่ค่อยพ่อใจ “พี่สาม พี่มีของขวัญให้ซ้อเล็กแต่กลับไม่มีของพวกเราด้วย! ลำเอียงมากเลยค่ะ!
เย่ไป๋ยิ้มและตอบ: “ร้อนใจทำไม? มีทุกคน อยู่ในห้องของผม เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วไปเอาเองนะ”
ซูหยุนจากที่โกรธกลายเป็นดีใจขึ้นมาทันที “ค่ะ งั้นทานข้าวเสร็จฉันไปพร้อมกับพี่นะคะ”
จิ่งหนิงหันไปมองลู่จิ่งเซิน เห็นเขาพยักหน้านิดๆแบบดูไม่ออก ถึงยื่นมือไปรับของขวัญมาและยิ้มด้วยความยินดี: “ขอบคุณค่ะ”
ทุกคนนั่งเข้าที่เรียบร้อย เริ่มรับประทานอาหารกัน
ระหว่างนั้น มีแต่คนเป็นห่วงเรื่องสุขภาพร่างกายของเย่ไป๋ เขาก็ค่อยๆตอบคำถามทีละคนทีละคนด้วยความยิ้มแย้มและต่างก็ตอบกลับไปว่าค่อยยังชั่วแล้ว
แต่จิ่งหนิงพอจะมองออก สีหน้าของเขาก็ยังหมองคล้ำ ริมฝีปากยิ่งไม่มีสีเลือดเลยสักนิด ยังบอกว่าดีขึ้นแล้ว คงจะเป็นแค่คำพูดที่เกรงใจ
เย่ไป๋คนนี้ เขาเป็นโรคอะไรกันนะ?
ความประทับใจที่เธอมีต่อคนๆนี้ก็ไม่เลว ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจมากกว่าหน่อยหนึ่ง คิดว่าเดี๋ยวคืนนี้กลับไป ถามลู่จิ่งเซินได้
“ซ้อเล็ก ฉันขอดื่มให้กับซ้อแก้วนึงนะคะ!” ซูหยุนพูดขึ้นมากะทันหัน ถือไวน์แดงหนึ่งแก้วเดินมาใกล้ๆจิ่งหนิง
จิ่งหนิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าซูหยุนทำไมจู่ๆจะมาชนแก้ว แต่เธออุตส่าห์มาแล้ว เธอก็ต้องยกแก้วเหล้าขึ้นมา ชนแก้วกับเธอเบาๆสักนิด
“ซ้อเล็ก ฉันนิสัยตรงไปตรงมา ถ้ามีอะไรที่ทำให้พี่ไม่สบายใจ ก็หวังว่าพี่จะไม่ถือสาฉันนะคะ” ซูหยุนพูดอย่างมีความในใจอยากบอก
จิ่งหนิงพยักหน้า หันไปมองลู่จิ่งเซิน เหมือนมีความคิดอะไรบางอย่าง
คุณหญิงย่ายิ้มและพูด: “หยุนหยุน ซ้อเล็กของหนูไม่เหมือนหนูนะ เธอดื่มเหล้าไม่ค่อยเก่ง หนูอย่าไปกรอกพี่เค้าจนเมาล่ะ”
ซูหยุนยิ้มและตอบ: “ไม่หรอกค่ะ ซ้อเล็กดีกับหนูจะตาย ใช่ไหมคะซ้อ”
พูดจบ ยังมองหน้าจิ่งหนิงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
จิ่งหนิงจะบอกว่าไม่ดีได้อย่างไร?
ไม่ได้มั้ง!
เธอก็ยิ้มบางๆเล็กน้อย พูดจาเหมือนมีอะไรอยากบอก: “หยุนหยุนใสซื่อน่ารัก ทำอะไรก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย ฉันชอบแน่นอนอยู่แล้วค่ะ”
คุณหญิงย่าฟังไม่ออกว่าคำพูดมีอะไรซ่อนเร้น ได้ยินเช่นนั้นยังคิดว่าพวกเธอดีกันจริงๆ รู้สึกพอใจและดีใจมากจนต้องพยักหน้าหลายๆที
“พวกเจ้าต่างฝ่ายต่างชอบซึ่งกันและกันก็ดีแล้ว ครั้งนี้หนูกับจิ่งเซินมาที่นี่ พวกคนแก่ๆอย่างเราไม่รู้เรื่องอะไรมากมาย ถ้ามีอะไรไม่คุ้นเคย ก็ถามเธอและเย่ไป๋ได้ พวกเขาอยู่ที่นี่มานานกว่าพวกคุณ ทำอะไรก็จะสะดวกกว่า”
จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินกล่าวขอบคุณ
ดื่มเหล้าเสร็จแล้ว ซูหยุนยิ้มๆแล้วถามว่า: “ซ้อเล็กคะ ครั้งนี้คุณสองคนมาทำไมกันหรือคะ?”
จิ่งหนิงทำหน้าเฉยๆ “ไม่มีอะไรค่ะ ช่วงนี้ว่างพอดี ก็เลยมาเที่ยวพักผ่อน”
“อย่างนั้นเหรอคะ งั้นพี่ไปไหนจะต้องพาฉันไปด้วยนะคะ ฉันชอบเป็นไกด์ให้คนอื่นมากที่สุดเลย”
เธอพูดจบ ยังกระพริบตาใส่จิ่งหนิง เหมือนว่าทั้งสองคนเป็นมิตรที่ดีต่อกันจริงๆอย่างนั้น
จิ่งหนิงรู้สึกว่า ตนเองควรจะเปลี่ยนความหน้าด้านของตนบ้างแล้ว ดูคุณหนูซูสิ ฝึกฝนมาได้ดีขนาดนี้
งานเลี้ยงรับประทานอาหารมื้อนี้ได้จบลงด้วยความสนุกสนานและรื่นเริง หลังจากที่ทานข้าวเสร็จแล้ว ลู่จิ่งเซินไม่รู้ไปไหน ซูหยุนก็ตามเย่ไป๋ไปดูของขวัญ จิ่งหนิงอยู่คนเดียวรู้สึกเบื่อๆ จึงไปเดินเล่นที่สวนหน้าบ้าน
“ซ้อเล็กคะ” ทันใดนั้นซูหยุนตามมาจากด้านหลังกะทันหันและมาจับแขนของเธอไว้ “พี่มาเดินเล่นเหรอคะ? ฉันเดินเป็นเพื่อนนะ”
กับความพยายามเข้าใกล้และมาสนิทสนมด้วยของซูหยุนเช่นนี้ ทำให้จิ่งหนิงรู้สึกอึดอัดพูดอะไรไม่ออก
“คุณไม่ไปหาพี่ชายของเธอเหรอ?”
“หาพวกเขาทำไมคะ? พวกเขาคุยแต่เรื่องของผู้ชาย ฟังแล้วไม่มีอะไรน่าสนุกเลย ฉันไม่อยากไปหรอก ฉันเห็นว่าพี่เดินเล่นคนเดียวคงจะเบื่อ พอดีว่าฉันก็อยากเดินบ้าง จึงมาเดินเป็นเพื่อนพี่ไงคะ”
ซูหยุนในตอนนี้ เหมือนเป็นยายเจ๊โง่ที่พูดจาตรงไปตรงมาจริงๆ แต่จิ่งหนิงรู้ว่าเธอไม่ใช่ ยายเจ๊โง่ไม่มีทางจะทำเรื่องที่ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นได้หรอก
“อืม…แต่ฉันเดินจนเหนื่อยแล้ว ฉันอยากไปนั่งทางโน้น” จิ่งหนิงชี้ไปทางศาลาที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ดีๆค่ะ! งั้นเราไปนั่งคุยกันที่นั่นกันเถอะค่ะ!”
จิ่งหนิง: “……”
ซูหยุนพูดแล้วก็รีบจูงเธอไม่นั่งที่ศาลา
คนของตระกูลจิ้นเป็นคนที่ชอบความสะดวกสบาย ถึงแม้คนจะอยู่ต่างประเทศ แต่กลับสร้างคฤหาสน์ใหญ่โตแบบจีน
บรรยากาศรอบๆศาลาก็ดีมาก ข้างๆเป็นสระน้ำรูปเสี้ยวพระจันทร์ ในสระน้ำยังปลูกดอกบัวหลายๆรูปแบบ ดอกบัวในตอนนี้ ถึงจะไม่บานแล้ว แต่ก็ยังมีกลิ่นดอกไม้หอมๆโชยขึ้นมา
จิ่งหนิงนั่งอึดอัดเต็มอกในศาลา รอเพียงแต่ลู่จิ่งเซินเมื่อไหร่จะคุยธุระเสร็จแล้วมาหาเธอ อย่างนี้เธอจะได้หนีคนที่อยู่ตรงหน้าให้พ้น
“ซ้อเล็ก พี่ดูตรงนั้นสิ มีดอกบัวดอกหนึ่งด้วย” ซูหยุนชี้ไปที่สระน้ำและพูดขึ้นมากะทันหัน
จิ่งหนิงยักคิ้ว นี่จะถึงเดือนแปดแล้ว ยังมีดอกบัวอีกหรือ?
หลอกใครกัน!
เธอเงยหน้าขึ้นมาหันไปมองดูอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับเห็นในสระน้ำมีอะไรสีขาวก้อนหนึ่งจริงๆ มองไม่ค่อยชัดในเวลากลางคืน
“น่าจะเป็นขณะอะไรบินไปเกาะอยู่บนนั้นมั้งคะ”
“เป็นไปได้ไง? พี่นึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือไง? จะมีขยะได้ไง! ฉันจะบอกอะไรให้ ที่นี่มีคนทำความสะอาดทุกวัน นั่นเป็นดอกบัวแน่นอน”
พูดจบ ซูหยุนลองวัดระยะห่างตรงนั้นสักพัก “ซ้อเล็ก พี่ดึงฉันไว้ ฉันจะเด็ดดอกบัวนั่นขึ้นมา”
จิ่งหนิงตกใจ
คิดอยู่ในใจ เธอรู้สึกว่าซูหยุนทำเช่นนี้ น่าจะมีแผนอะไรแน่ๆ
ในสมองนึกภาพละครทีวีที่ผู้หญิงแย่งแฟนกันต่างๆนาๆ เมียน้อยต้องการเป็นเมียหลวง ทำร้ายเมียหลวงทุกวิถีทาง