บทที่ 41 เพื่อนเก่ามาเจอกัน
ซูมู่ได้ช่วยเธอเปิดประตูรถ ถามออกไปอย่างสุภาพว่า “คุณนาย ตอนนี้พวกเราจะไปไหน?”
จิ่งหนิงหันไป มองตู้เซฟที่อยู่หลังรถสักพัก
ผ่านไปแป๊บเดียว ก็พูดออกไปเรียบๆ “กลับบ้านก่อนเถอะ!”
หลังกลับไปถึงคฤหาสน์บ้านลู่ ป้าหลิวเห็นซูมู่อุ้มตู้เซฟที่ใหญ่ขนาดนั้นกลับมา ก็คิดว่าจิ่งหนิงซื้อเครื่องประดับมีค่าอะไรกลับมา
ก็ได้รีบเข้าไปรับด้วยความอารมณ์ดี แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่ขึ้นไปข้างบนแล้วเปิดออก ก็เป็นสร้อยคอที่มองแล้วธรรมดามากๆ เส้นหนึ่ง
ถึงแม้ว่าลักษณะของสร้อยนั้นละเอียดอ่อน มรกตสีเขียวนั้นดูจากสีแล้วก็สวยดี แต่มันก็ไม่ได้ดูเหมือนของที่มีค่าถึงขั้นที่ต้องเอาใส่ในตู้เซฟนี่นา!
ที่จริงจิ่งหนิงก็เริ่มที่จะทำตัวไม่ถูก
เดิมทีที่ซูมู่เตรียมตู้เซฟมานั้น ก็เพื่อเผื่อไว้ว่าในของดูต่างหน้าของแม่เธอนั้นจะมีของมีค่า และเกรงว่าจะเอาไปลำบาก
แต่สุดท้ายก็แต่การตีตนก่อนไข้เท่านั้น
จิ่งหนิงได้หลุดขำออกมา แต่พอคิดได้ว่าตอนนี้ได้เอาของดูต่างหน้ามาแม่มาได้สักที ก็ได้ดีใจมากๆ
เธอยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองดูหลังจี้สร้อยคอใต้แสงอาทิตย์อย่างละเอียด
บนนั้นมีตัวหนังสือเล็กๆ สลักไว้ เป็นชื่อตัวย่อของคุณแม่ M-C-W
คุณแม่จากไปกะทันหันเกินไป ของที่อยู่ในบ้านทั้งหมดก็ได้ถูกสองแม่ลูกนั้นเอาไป สิ่งที่เหลือให้เธอในวันนี้ ก็มีแค่ของพวกนี้แล้ว
คิดถึงตรงนี้ ในใจของจิ่งหนิงก็ได้ร้อนขึ้น
เธอเดินไปตรงกระจก ถอดเอาสร้อยคอสีเงินที่เธอใส่อยู่ตลอดออก แล้วสวมสร้อยคอที่แปลกตานี้
โชคดี สร้อยคอนั้นได้ถูกผลิตออกมาอย่างประณีต ถึงแม้การออกแบบจะดูโบราณไปหน่อย แต่ถ้าสวมแล้วก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่ามันแปลก
เธอยิ้มออกมา แล้วเอาจี้นั้นใส่ไว้ในเสื้อ แล้วเอาคอเสื้อมาบังไว้ ได้ตบที่หน้าอกของตัวเองเบาๆด้วยความพอใจ แล้วก็เดินออกไปข้างนอก
ช่วงบ่าย จิ่งหนิงไปที่วัฒนธรรมซิงฮุย
บริษัทได้เอามาไว้ในมือได้หลายวันแล้ว ไม่กี่วันก่อนไม่ค่อยมีเวลา วันนี้พึ่งมีเวลามาตรวจดูบริษัทด้วยตัวเอง
ก่อนไป เธอนั้นได้โทรมาบอกกับคนที่ดูแลบริษัทคนปัจจุบันไว้ก่อนแล้ว บอกพวกเขาว่าวันนี้ตนจะเข้าไป
ตอนที่ถึงบริษัท ก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงพอดี
คนที่มาต้องรับเธอเป็นรองประธานแซ่หลิน
บริษัทวงการบันเทิงนั้นไม่เหมือนกับบริษัทอื่น มีพวกกลุ่มนักแสดงเป็นพนักงานบริษัทเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเทียบกับสายงานอื่นทั้งหมด พนักงานที่นั่งทำงานไม่ได้มีมากขนาดนั้น
โดยเฉพาะวัฒนธรรมซิงฮุยที่ใกล้จะล้มละลาย ไม่มีใครยอมที่จะนั่งมองรอความตายอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นวัฒนธรรมซิงฮุยโดนซื้อไป เปลี่ยนเจ้าของบริษัท นี่เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้
เจ้านายคนใหม่นั้นจะจัดการกับบริษัทอย่างไรนี่ยังเป็นคำถาม เพราะงั้นขอแค่มีความคิดหรือทางออก ก่อนที่จะโดนซื้อไปนั้น ก็ได้ลาออกกันแล้ว
ที่เหลือ ก็มีแค่พวกที่ไม่รู้ผักปลาอะไรเลยทั้งนั้น
รองประธานหลินได้พาเธอไปที่ห้องทำงาน แล้วก็ได้บอกสถานการณ์ของบริษัทให้เธอไปคร่าวๆ
จิ่งหนิงได้วิเคราะห์ไป พบว่าไม่ได้ต่างจากข้อมูลในเอกสารที่เธอได้มามากนัก
นักแสดงในบริษัทนั้นตอนนี้มีแค่สิบคน มีกลุ่มนักแสดงชายห้าคนที่พึ่งได้เซ็นสัญญาไปเมื่อปีก่อน ถึงบอกว่าเป็นกลุ่ม ที่จริงก็แค่เอาพวกนักแสดงที่ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรมากมารวมกลุ่มกันเท่านั้น
และยังมีนักแสดงที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรอีกไม่กี่คน จนถึงตอนนี้ผลงานที่มีนั้น ก็เป็นแค่ได้แสดงแบบขันทีเล็กๆ หรือสาวใช้ในวังของละครบางเรื่อง
ฝ่ายนายหน้าก็อย่าไปพูดถึงเลย นายหน้าที่มีฝีมือหน่อยก็ได้หนีไปหมดแล้ว ตอนนี้ในนี้มีคนที่พึ่งจบใหม่มาไม่กี่คน ความสามารถนั้นแทบจะเทียบไม่ได้กับนักแสดงของตนเลย
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ยิ่งไม่มีประโยชน์เข้าไปอีก
ล้อกันเล่น! นักแสดงของตนเป็นถึงขนาดนี้แล้ว จะประชาสัมพันธ์อะไรได้อีก!
แทบทนไม่ได้ที่จะสร้างกระแสขึ้น ให้พวกเขานั้นมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างจะได้ไหม?
ต่อให้เป็นข่าวไม่ดี แต่อย่างน้อยก็ดังนะ!
แล้วยังมีฝ่ายอื่นๆ อีก จิ่งหนิงมองดูอย่างละเอียด สถานการณ์น่าเป็นห่วงทั้งหมด
รองประธานหลินรายงานไป แล้วก็ได้ยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูกไป
“ประธานจิ่ง นี่เป็นสถานการณ์ของบริษัทพวกเราตอนนี้ทั้งหมดค่ะ พวกผลการตลาดได้อยู่ตรงนี้ทั้งหมดแล้ว คุณจะดูอีกรอบไหมคะ?”
จิ่งหนิงส่ายหน้า
ดูอีกรอบแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร?
ก็ยังเป็นนักแสดงสิบคนที่ไม่มีอะไรเลยไม่ใช่เหรอ?
เธอได้ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง
รองประธานหลินก็รู้ว่าสถานการณ์ของบริษัทตอนนี้มันแย่มาก
แต่ความเป็นจริงมันได้วางอยู่ตรงนี้ เขาก็เป็นแค่ผู้ดูแลที่มาแทนชั่วคราวเท่านั้น เมื่อก่อนเดิมทีทำงานเป็นเลขา
เป็นเพราะบริษัทกำลังจะล้มละลาย ทุกคนได้หนีไปหมด เขาก็พึ่งได้รับตำแหน่งรองประธานในยามวิกฤตแบบนี้
สามารถประคองบริษัทให้เป็นแบบนี้ในตอนนี้ได้ ก็ยากลำบากพอตัว
“ที่จริงสถานการณ์บริษัทในตอนนี้นั้นก็คือขาดทรัพยากร เพราะว่าไม่มีงบประมาณมาหมุน ไม่มีเงินก็ไม่สามารถหาทรัพยากรมาได้ ไม่มีทรัพยากรก็ไม่สามารถหานักแสดงที่มีความสามารถมาได้ มันได้วนแบบนี้มาตลอดจนทำให้เดินมาถึงจุดนี้”
จิ่งหนิงก็เข้าใจความลำบากของเขาดี ไม่พูดอะไร ได้โบกมือ
“ฉันรู้แล้ว พวกรายงานพวกนั้นเอาไว้ตรงนี้ก่อน! เรื่องหางบประมาณมาหมุนเดียวฉันจะหาวิธีเอง ขอบใจเธอมาก เธอออกไปก่อนเถอะ!”
รองประธานหลินพยักหน้า ถึงได้เดินออกไป
พอรอรองประธานหลินออกไป จิ่งหนิงก็ได้ไปที่ฝ่ายนักแสดง
นักแสดงนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่บริษัทได้เอาไปแข่งทางการตลาด ก่อนหน้านี้เธอได้ทำความเข้าใจกับพวกนักแสดงทางเอกสารมาบ้าง แต่ว่าไม่ได้เคยเจอพวกเขาเอง
เวลานี้ นักแสดงคนอื่นได้ออกไปออดิชั่นกับกองถ่ายหมดแล้ว ที่อยู่ในบริษัทนั้นก็เป็นกลุ่มนักแสดงชายที่พึ่งรวมกลุ่ม
เดือนหน้าก็ได้มีรายการคัดเลือกในโซเชียลที่ดังมากรายการหนึ่ง ความต้องการของบริษัทคือ ถึงแม้จะรู้ว่าความหวังที่พวกเขาจะเข้ารอบมีน้อยมาก แต่ก็ยังมีความคิดที่จะรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็นไว้ ให้พวกเขาไปลองดู
เพราะงั้นเวลานี้ พวกเขานั้นกำลังซ้อมเต้นกันอยู่
ตอนที่จิ่งหนิงไปถึง พวกเขานั้นก็กำลังฝึกอย่างหนัก
เธอไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเขา ได้ยืนมองพวกเขาอยู่ด้านนอกผ่านกระจก
พูดตรงๆ ถึงแม้จะเป็นเจ้านาย เธอก็ไม่อาจที่จะพูดออกไปว่าพวกเขานั้นเก่งได้
ตลาดของพวกนักแสดงได้แข่งขันกันดุเดือดมาก สำหรับการร้องเต้นของวงนักแสดงชายนั้น คนพวกนี้ไม่ได้มีหน้าตาที่หล่อจนน่าตกใจ และก็ไม่มีความสามารถที่ทำให้คนนั้นยอมรับได้ คุณสมบัตินั้นธรรมดาเกินไป
เห็นที เหมือนว่าก็เหลือแค่ความพยายามแล้ว
แต่ว่าน่าเสียดาย ในวงการบันเทิงนั้น ความพยายามเป็นอะไรที่ไร้ค่าที่สุดแล้ว
จิ่งหนิงมองไปสักพัก ก็ได้จากไป
พวกคนที่ออกไปออดิชั่นนั้น มีชายสองหญิงสาม พอถึงตอนเย็น ก็ได้กลับมาทั้งหมด
จิ่งหนิงก็ได้พบว่า ในนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอนั้นรู้จัก
——ถังลั่วเหยา
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอเป็นผู้จัดการที่เฟิงหัวนั้น ได้เคยเจอเธอไม่กี่ครั้ง
ถังลั่วเหยาได้จบจากสาขาการแสดงละครจีน ถือว่าออกมาจากชั้นเรียน ถึงแม้ว่าไม่ได้มีใบหน้ารูปวีที่สมัยนี้ชอบกัน แต่ก็ถือว่าสวยน่ารัก
ในกลุ่มนักแสดงใหม่นั้น การแสดงของเธอถือว่าโดดเด่น
แต่เป็นเพราะมีใบหน้าที่กลม ก็เลยทำให้เธอไม่ได้โอกาสที่ดี
ต่อมาเวลาสัญญาก็ได้หมดลง เธอก็ได้ยกเลิกสัญญากับเฟิงหัว
แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาซิงฮุย