บทที่ 426 เป็นพ่อคน
หลังจากที่เย่ไป๋ออกจากอาคาร เขาก็ไปที่โรงพยาบาลก่อน
หลังจากรู้ว่าลู่จิ่งเซินไม่เป็นอะไรมากแล้วถึงจะรู้สึกโล่งใจจริงๆ
ภายในห้องพักผู้ป่วยวีไอพีในตอนนี้
จิ่งหนิงลืมตาขึ้นพลิกตัวลุกขึ้นอย่างเคยชิน แต่ถูกพยาบาลห้ามไว้
“คุณคะ ครรภ์ของคุณยังไม่คงที่ยังต้องพักผ่อนให้มากๆนะคะ”
ขณะที่พยาบาลกำลังช่วยเธอนอนลง แต่จิ่งหนิงกลับจับมือเธอไว้แล้วถามอย่างกังวลว่า “ลู่จิ่งเซินล่ะ? เขาฟื้นรึยัง?”
พอเย่ไป๋ที่กำลังยกอาหารบำรุงเข้ามาได้ยินประโยคนี้ ในใจก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก จมูกเขาแสบ นัยน์ตาก็ชื้น
พอพี่สะใภ้ตื่นขึ้นมา สิ่งที่เธอเป็นห่วงที่สุดกลับไม่ใช่ตัวเธอเอง
เย่ไป๋หายใจเข้าลึกๆ ไม่นานสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ เขาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มต่ำมองจิ่งหนิงที่ยังคงยืนกรานที่จะออกไปข้างนอกแล้วปลอบอย่างนุ่มนวล
“พี่ชายไม่เป็นไรแล้ว เพียงแค่เมื่อกี้เพิ่งผ่าตัดใหญ่ เขายังไม่ฟื้น พี่สะใภ้อย่าเพิ่งกังวลไปเลย รักษาดูแลร่างกายก่อน พอเขาฟื้นมาเห็นพี่สะใภ้ไม่เป็นอะไรจะได้โล่งใจ”
จิ่งหนิงหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว เธอลูบหน้าท้องด้วยปลายนิ้ว ใจที่วิตกกังวลก็ค่อยๆสงบลง
ตอนนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว ต้องดูแลตัวเองให้ดี เธอจะต้องบอกเขาด้วยตัวเองหลังจากเขาตื่นมาว่าเธอมีลูกของเขาแล้ว
ตาของจิ่งหนิงโค้งราวกับกำลังนึกถึงสีหน้าประหลาดใจของลู่จิ่งเซินหลังรู้เรื่องนี้
พอเย่ไป๋เห็นว่าอารมณ์ของเธอคงที่แล้ว จึงเหลือบมองพยาบาลส่งสัญญาณบอกให้เธอออกไปก่อน เหลือเพียงเขาคนเดียวก็พอ
หลังจากพยาบาลออกไป เย่ไป๋ก็ให้จิ่งหนิงก็ข้าวเช้าก่อน ช่วงนี้นี้มีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น ทำให้เธอกินน้อย ไม่ใช่แค่เธอต้องการบำรุงเอง ลูกก็ต้องการเช่นกัน
จิ่งหนิงพยายามระงับความกังวลเรื่องลู่จิ่งเซิน กินเสร็จเธอค่อยไปห้องพักเขาด้วยตัวเอง เย่ไป๋รู้ว่าห้ามไม่อยู่จึงพาเธอไป
“ฉันอยู่เป็นเพื่อนเขา พวกนายออกไปก่อนเถอะ”
จิ่งหนิงนั่งเงียบๆอยู่หน้าเตียงมองเขาที่หน้าซีด ใจก็รู้สึกเจ็บมากๆ ลำคอก็แห้งผาก
“โอเค พวกเราอยู่ข้างนอกนะ มีอะไรก็บอกได้”
เย่ไป๋และคนอื่นตอบตกลงแล้วถอยกลับออกไปโดยไม่รบกวนอีก
จิ่งหนิงจับมือเขาเบาๆ ความเหนื่อยล้าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาดูเหมือนจะคลายลงขณะที่เธอจับมือเขา ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
เธอเอนตัวเข้าหาลำตัวเขาแล้วอิงเบาๆ
ลู่จิ่งเซิน นายต้องดีขึ้น!
ต้องอาการดีขึ้น ฉันกับลูกรอนายอยู่
ลู่จิ่งเซินตื่นขึ้นมาในบ่ายวันรุ่งขึ้น
แสงสลัวสีทองในตอนเย็นสาดเข้ามาผ่านหน้าต่างทำให้ทั้งห้องสว่างไสวไปทั่ว
เขาลืมตาขึ้นก็เห็นคนที่นั่งข้างเตียง แผ่นหลังบางที่อาบด้วยแสงสีทองดูอบอุ่นกำลังก้มหน้าราวกับว่ากำลังปอกแอปเปิล
เธอมีสมาธิมากจึงไม่รู้ตัวว่าเขาตื่นแล้ว
พอสายตาเลื่อนออกก็พบว่าบนโต๊ะข้างเตียงมีผลไม้หั่นหลายอย่างวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ไม่รู้ว่าเธอนั่งปอกผลไม้อยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว
ใจลู่จิ่งเซินรู้สึกอบอุ่น
จิ่งหนิงเกิดมาหน้าตาดีทำอะไรก็ย่อมดูดีเป็นธรรมดา
ในใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มความรักละมุน เขายกมือข้างที่ยังคงมีเข็มเจาะอยู่ นิ้วเรียวจับข้อมือของจิ่งหนิงเบาๆ “หนิงหนิง”
จิ่งหนิงสะดุ้งเล็กน้อย
หลังเธอแทบจะแข็ง เธอหันหน้ามาก็เห็นลู่จิงเฉินที่หน้าซีด แต่ตื่นขึ้นมาแล้ว
ตื่น?!
วินาทีถัดมาไม่รอให้ผู้ชายบนเตียงผู้ป่วยตอบสนอง ทันใดนั้นผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ดึงเขาเข้าสู่อ้อมแขน “ลู่จิ่งเซิน”
ร่างกายของจิ่งหนิงบอบบาง แต่ตอนนี้เธอกลับกำลังกอดคนตัวโตในชุดขาวอย่างเขาไว้
เธอกอดเขาแน่น เธอแทบอยากจะโอบเขาเข้าไปในกระดูก ให้เขากลายเป็นเลือดของเธออยู่กับเธอไปตลอดชีวิตไม่มีวันจากกันไปไหนตลอดกาล
“…หนิงหนิง??
“ลู่จิ่งเซิน! นายรู้ไหมว่าฉันกลัวแค่ไหน ตอนนั้นเลือดบนร่างกายของนาย…เต็มไปหมด ฉันกลัวจริงๆนะว่านายจะจากฉันไป…นายรู้ไหมว่าฉันมีความสุขแค่ไหนที่ได้เห็นนายยังมีชีวิตอยู่ ฉัน…ของพวกเรา…”
“ฉันรู้…หนิงหนิง”
ลู่จิ่งเซินขยับตัวออกจากอ้อมแขนของจิ่งหนิง เช็ดน้ำตาแห่งความตื่นเต้นหรือดีใจบนใบหน้าของเธอ “ฉันรู้หมดแล้ว”
จิ่งหนิงก้มหน้าจูบลู่จิ่งเซิน
เธอยืนอยู่ตรงหน้าลู่จิ่งเซิน สบตากับดวงตาสีดำของเขาแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณลู่ที่รัก ขอแสดงความยินดีด้วย”
เธอพูดพลางโน้มตัวให้หน้าท้องอยู่ตรงข้ามเขา
เธออยู่ใกล้มาก
ลู่จิ่งเซินคิด
“ฉันท้อง นายกำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว”
เสียงที่แผ่วเบาแต่กลับเหมือนเสียงสวรรค์ที่เข้าหูเขา
นายกำลังจะเป็นพ่อคน
——เป็นพ่อ?!
สมองลู่จิ่งเซินว่างเปล่าเป็นเวลาสามวินาที สามวินาทีต่อมาเขาก็ดึงจิ่งหนิงเข้าในอ้อมแขนทันที เสียงของเขาสั่นด้วยความตื่นเต้น
“…จริงนะ?”
“อื้ม”
“ลูกของเรา.”
ลู่จิ่งเซินขยับสายตาไปที่หน้าท้องแบนราบของจิ่งหนิงแล้วถามอย่างเน้นคำขัดๆ
“ลูกของเรา” เธอพูดซ้ำ
มีเสียงเคาะประตูดังมาจากนอกห้องพัก
ลู่จิ่งเซินได้ยินเสียงก็รู้ว่าทันทีว่าคือซูมู่
ทั้งสองคนเก็บความรู้สึกดี จิ่งหนิงให้ลู่จิ่งเซินปล่อยเธอ เธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วหันกลับมาตรงไปเปิดห้องพัก
“จับเซี่ยฉวนได้แล้วหรอ?”
จิ่งหนิงพาเขาไปที่หน้าเตียงผู้ป่วย พอนั่งลงก็เอาไม้จิ้มฟันจิ้มแอปเปิลแล้วส่งให้ลู่จิ่งเซิน
“จับได้แล้วครับ แต่ตอนนี้เธออารมณ์ไม่คงที่ ผมเอาตัวเธอไปไว้ที่อื่น รอเธออารมณ์ดีขึ้น…”
ซูมู่ลังเล
“พามาที่นี่”
ลู่จิ่งเซินไม่ได้เปิดโอกาสให้ซูมู่ลังเลอีก
เขามองบาดแผลบนหน้าอกตน ความอ่อนโยนในดวงตาของเขาหายไปทีละนิดๆแล้วถูกแทนที่ด้วยเมฆแห่งความมืด
หลังจากลังเลครั้งแล้วครั้งเล่าซูมู่ก็ส่งตัวเซี่ยฉวนเข้ามาที่ห้องผู้ป่วย
จิ่งหนิงตะลึงเล็กน้อย
เซี่ยฉวนไม่ใช่เซี่ยฉวนคนเดิมคนที่เธอจำได้อีกต่อไป
ความสวยความสง่างามของเซี่ยฉวนได้หายไปหมด ผมปล่อยผมแล้วมัดอย่างไม่เรียบร้อยราวกับหมาป่าที่ดุร้าย มองลู่จิ่งเซินที่มีสีหน้าสงบกำลังนั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยความเกลียดชัง ตัวเธอสั่นไปหมด
“เซี่ย …” จิ่งหนิงอยากจะเอ่ยปากพูด
“นายลู่…ชะตาชีวิตดีมากนี่”
เซี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นกล่าวน้ำเสียงถากถางในตอนท้ายของประโยค
จิ่งหนิงหันไปมองลู่จิ่งเซิน
เมื่อเห็นสีหน้าลู่จิ่งเซินเฉยเมย เธอก็หันไปมองเซี่ยฉวน
“ลู่จิ่งเซิน! คนอย่างพวกคุณที่สวมชุดสูทรองเท้าหนัง ปากก็เอาแต่พูดเรื่องคุณธรรม แต่กลับทำแผนชั่วทำร้ายคนเพื่อเงิน ไม่สนใจชีวิตคนเลยสักนิด! พวกคุณมันกล้าทำทุกอย่างเพื่อเงินกับอำนาจ!
555…ฉันจะบอกให้ว่าไม่ช้าก็เร็วคุณจะต้องจ่ายชดใช้กับสิ่งที่พวกคุณก่อนหน้านี้!”
อารมณ์ที่สะสมมานานได้ระเบิดขึ้นในทันที ทำให้เซี่ยฉวนที่เคยสง่าถูกความแค้นนับเจ็ดปีควบคุม ตะโกนราบกับคนบ้า
อดีตเพื่อนสนิทในวันวานหายไป ผู้หญิงทั้งจนตรอกทั้งท่าสงสาร ไม่พบเงาของเซี่ยฉวนอีกต่อไปแล้ว