บทที่ 453 เป็นห่วงเธอ
ด้านข้างของเธอเป็นผู้ชายที่ดูอายุน้อยคนหนึ่ง เขาสวมชุดสูทสีแดงเข้ม และเจาะหูเพชรด้วย ตอนที่มองคนอื่นมักเผยสายตายิ้มแย้ม พร้อมเผยรอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ ดูแล้วมีเสน่ห์มาก
เหมือนกับสังเกตเห็นสายตาของเธอ เขาก้มหน้าเล็กน้อย แล้วเดินตรงมาทางนี้
คนที่เดินตามมากับเขาด้วย ยังมีเฟิงยี่
เมื่อเฟิงยี่เห็นเธอ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าเลิกบานเหมือนเจอคนรู้จักขึ้น
หัวเหยาชูแก้วขึ้นต่อเขาจากที่ไกลเพื่อการทักทาย และแสดงให้รู้ว่าไม่ได้ละเลยเขา
ทันใดนั้นก็เห็นกู้ซีเยว่โอบแขนกู้ฉางไห่ผู้บริหารกู้ซื่อกรุ๊ป ซึ่งพวกเขาดึงดูสายตาคนในงานทั้งหมด
คืนนี้กู้ซีเยว่สวมชุดราตรีสีม่วง ดูแล้วมีท่าทางสง่าสูงส่ง และหรูหรา โดยการนำเดินจากพ่อของเธอท่ามกลางฝูงชนชั้นสูง
สามารถเห็นได้ว่ากู้ฉางไห่กำลังสั่งสอนลูกสาวคนนี้ของตัวเอง ตระกูลกู้มีลูกทั้งหมดสามคน ลูกคนที่หนึ่งกับคนที่สองเกิดจากภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีเพียงคนที่สามคนเดียวที่เป็นลูกนอกสมรส
แต่ได้ยินมาว่าช่วงกู้ซือเฉียนลูกชายนอกสมรสคนนั้นถูกรับกลับมาจากต่างประเทศแล้ว ทุกคนล้วนมีความสนใจต่ออนาคตของตระกูลกู้
งานเลี้ยงในวันนี้ หัวเหยาแทบไม่ได้สนใจเลย แม้ไม่ได้เจอคุณชายสามของตระกูลกู็ตามที่ร่ำลือกัน
แต่เห็นเพียงกู้ฉางไห่พากู้ซีเยว่เดินเป็นเพื่อนรอบหนึ่ง ตอนที่เดินมาถึงเฟิงยี่ก็ยิ้มจางๆ และกล่าวทักทายกับพวกเขาเล็กน้อย
จากนั้นชั่วพริบตา ดวงตาก็เผยสายตาแปลกใจเล็กน้อย
จากนั้นก็หันหน้ายิ้ม พร้อมเดินเข้ามาหาจี้หลินหยวน
กู้ฉางไห่รู้จักจี้หลินหยวนแน่นอน แต่เพราะอายุที่ต่างกันมาก จึงไม่ค่อยสนิทสนมกันมาก
เพราะจี้หลินหยวนเป็นคนมีนิสัยสันโดษ ไม่ค่อยชอบเข้าร่วมงานเลี้ยง ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นเขาปรากฏในงานเลี้ยงสักเท่าไหร่ คนที่รู้จักเขาต่างก็รู้สึกแปลกใจ เพราะรู้จักเขาเลยไม่กล้าซักถามเบื้องหน้า ส่วนคนที่ไม่รู้จัก ถึงแม้มองว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ถูกรัศมีความสูงส่งของเขากดดัน จนไม่กล้าเดินเข้าไปกล่าวทักทาย
กู้ฉางไห่หัวเราะฮ่าฮ่า : “โธ่! คุณชายจี้มาร่วมงานด้วย ช่างเป็นเกียรติมากครับ!”
จี้หลินหยวนยิ้มมุมปากเล็กน้อย พร้อมเผยท่าทางถ่อมตนที่พบเห็นยาก “ผู้บริหารกู้พูดเกินไปแล้ว ตระกูลกู้และตระกูลจิ้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาหลายปี ดังนั้นเมื่อคุณหนูกู้เชิญผม แน่นอนว่าผมต้องเข้าร่วม
กู้ซีเยว่ยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยต่อหัวเหยา แล้วพูดขึ้นว่า : “คุณชายจี้ช่างให้เกียรติแบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกตกใจมาก งั้นขอชนแก้วร่วมยินดีหน่อยนะคะ”
พูดจบก็ยกแก้วขึ้น
จี้หลินหยวนไม่ได้พูดอะไร แต่ชนแก้วกับเธอเบาๆ แล้วดื่มหมดแก้ว
“คนนี้คือ?”
กู้ฉางไห้จ้องมองหัวเหยา ยิ้มและซักถามขึ้น
เขาพูดอธิบายอย่างเรียบง่ายว่า : “ภรรยาของผมครับ หัวเหยา”
เขาก้มหน้าลง และพูดกับหัวเหยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “เหยาเหยา ทักทายสิ”
หัวเหยาพยักหน้าตามมารยาทเล็กน้อย “ยินดีที่ได้รู้จักผู้บริหารกู้นะคะ ฉันของชนแก้วร่วมยินดีนะคะ”
ท่าทางเชื่อฟังของเธอเป็นที่ชอบใจของกู้ฉางไห่มาก ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะแต่งงานอย่างเงียบเชียบ แต่เขาก็ยังคงยิ้มให้เกียรติ : “ครับ!”
หลังจากพูดจบก็ยกแก้วขึ้นมาดื่ม
ทันใดนั้นกวนจี้หมิงก็เดินเข้ามาทักทาย
แน่นอนว่ากวนจี้หมิงรู้จักหัวเหยากับจี้หลินหยวน ทั้งสามคนกล่าวทักทายต่อกันสักพัก หัวเหยาก็นึกออกว่าช่วงนี้คุณท่านกวนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงซักถามด้วยความเป็นห่วง
กวนจี้หมิงถอนหายใจ และส่ายหน้า
“สุขภาพของคุณท่านนับวันยิ่งแย่มาก พวกเราคิดหาวิธีทุกอย่างแล้ว แต่กลับไม่ค่อยได้ผลอะไรเลย”
เมื่อหัวเหยาได้ยินแบบนี้ก็อดใจขมวดคิ้วอย่างกังวลไม่ได้
จี้หลินหยวนพูดขึ้นว่า : “คุณท่านผ่านประสบการณ์ครึ่งชีวิตอย่างโชกโชน ดังนั้นปั้นปลายชีวิตต้องมีความสุขแน่ ถึงยังไงสวรรค์ก็เมตตาต่อคนดี คุณลุงสองอย่าได้เป็นกังวลมากเกินไปนะคะ”
กวนจี้หมิงพยักหน้าเล็กน้อย
จู่ๆเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก จึงซักถามว่า : “จริงสิ ช่วงนี้พวกคุณติดต่อกับหนิงหนิงบ้างไหมคะ?”
หัวเหยาสบตากันกับจี้หลินหยวน โดยไม่พูดอะไร
กวนจี้หมิงขมวดคิ้ว และพูดว่า : “อันที่จริงผมอยากติดต่อหาเธอ แต่ติดต่อไม่ได้เลย คุณท่านเป็นห่วงเธอมาก เมื่อสอบถามทางตระกูลลู่บอกว่าเธอกับลู่จิ่งเซินไปต่างประเทศด้วยกัน แล้วพวกคุณทราบข่าวคราวของพวกเขาหรือเปล่า?”
จี้หลินหยวนครุ่นคิดชั่วครู่ และรู้สึกว่าถ้าหากไม่บอกเรื่องนี้ต่อตระกูลกวน ยิ่งจะทำให้พวกเขาเป็นห่วง
ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า : “เธออยู่ประเทศF ก่อนหน้านี้ลู่จิ่งเซินได้รับบาดเจ็บ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
เมื่อกวนจี้หมิงได้ยินว่าลู่จิ่งเซินได้รับบาดเจ็บก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
“ทำไมได้รับบาดเจ็บล่ะ? ไม่ใช่บอกว่าไปเที่ยวต่างประเทศหรอกหรอ? พวกเขาเกิดอะไรขึ้นหรอ?”
จี้หลินหยวนพูดขึ้นว่า : “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ ถ้าหากคุณอยากรู้ คุณถามพวกเขาเองดีกว่านะคะ”
ขณะที่พูดก็มอบช่องทางการติดต่อต่างประเทศของจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินให้กับกวนจี้หมิง
กวนจี้หมิงจึงจะรู้สึกวางใจเล็กน้อย
หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น กวนจี้หมิงก็โทรหาจิ่งหนิง
ในตอนนี้จิ่งหนิงกำลังไปส่งพ่อบ้านฉินของตระกูลฉินพอดี
เพราะลู่จิ่งเซินได้รับบาดเจ็บ คุณหญิงจิ้นจึงไม่วางใจปล่อยให้พวกเขาสองคนพักอยู่โรงพยาบาล
ตอนนี้บาดแผลของลู่จิ่งเซินสามารถพูดได้ว่าดีขึ้นมาก ดังนั้นจึงคิดอยากพูดเกลี้ยกล่อมพวกเขาย้ายไปพักที่บ้านตระกูลจิ้น ไม่เพียงสะดวก แถมปลอดภัยด้วย
บ้านตระกูลจิ้นมีหมอประจำตระกูลของตัวเอง ดังนั้นยิ่งสะดวกเป็นอย่างมาก
แต่ข้อแนะนำนี้กลับถูกจิ่งหนิงปฏิเสธ
เธอไม่อยากพึ่งพาตระกูลจิ้น เพียงเพราะความสัมพันธ์ของจิ้นหง และเพราะฐานะที่พิเศษของตัวเธอเอง
ที่มาครั้งนี้ เพราะต้องการสืบการตายของตาK และอยากคบหาสมาคมกับคนของกลุ่มมังกรรวมถึงคนของตระกูลจื่อจิน ดังนั้นเลยไม่อยากให้คนของตระกูลจิ้นมองออก
เมื่อพ่อบ้านจิ้นเห็นแบบนี้ก็ไม่เซ้าซี้ ทำได้เพียงจากไปด้วยความรู้สึกเสียดาย
หลังจากที่เขาจากไป กวนจี้หลิงก็โทรมาทันที
“หนิงหนิง ฉันได้ยินมาว่าลู่จิ่งเซินบาดเจ็บหรอ? พวกคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้ง และคาดเดาว่าคงเป็นจี้หลินหยวนที่บอกกับเขา
เธอยิ้มจางๆ “ไม่เป็นอะไรคะ คุณลุงวางใจเถอะค่ะ”
กวนจี้หมิงพูดด้วยน้ำเสียงแฝงขุ่นเคืองเล็กน้อย “เธอเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะวางใจได้ยังไง? อยู่ดีๆกลับไปทำอะไรที่ประเทศF? แถมได้รับบาดเจ็บลงด้วย ตกลงเธอเป็นยังไงบ้าง? เป็นอะไรหรือเปล่า?”
จิ่งหนิงพูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่อุบัติเหตุเท่านั้น คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกค่ะ”
ฝ่ายตรงข้ามนิ่งเงียบชั่วครู่
“เธอบอกกับฉันมาตามตรง เธอไปสืบเรื่องของตระกูลจื่อจินหรอ?”
จิ่งหนิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
ไม่นานก็ยิ้มจางๆ “คุณลุงค่ะ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฉันมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของพ่อกับแม่ของฉัน แต่คุณน่าจะเข้าใจว่าฉันถามเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นกับคุณกระจ่างหมดแล้ว
คนก็ตายมาหลายปีแล้ว แล้วฉันจะไปสืบตระกูลของเขาทำไมกัน? หาเรื่องใส่กับตัวเองเปล่าๆ จริงไหม?”
กวนจี้หมิงนิ่งอึ้ง
เขาพูดขึ้นว่า “ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้เธอคิดอะไรอยู่?”
จิ่งหนิงยิ้มแย้ม “ฉันจะถือว่าคุณกำลังชมฉันก็แล้วกัน”
“นี่เธอ”
กวนจี้หมิงถอนหายใจ “เอาล่ะ ฉันพูดสู้เธอไม่ได้ แต่เมื่อเธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว หากมีเวลาว่างโทรหาคุณตาของเธอบ้างก็ดี ช่วงนี้สุขภาพร่างกายของเขาไม่ค่อยดี คุณเอาใจเขาหน่อยนะ”
จิ่งหนิงพูด”อืม”ขึ้น “ฉันทราบแล้วค่ะ”