บทที่ 457 ลูกของพวกเขา
เธอลูบหน้าท้องของตัวเอง พร้อมกับจินตนาการในวันข้างหน้า ตัวเองมีลูกสาวน่ารักเหมือนอานอานก็อดใจไม่ยิ้มแย้มขึ้นไม่ได้
“อานอาน คุณยายบอกหนูหรือยังว่าหนูกำลังมีน้องชายหรือน้องสาวแล้ว?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อานอานก็ดีอกดีใจขึ้นทันที
“หนูรู้แล้วค่ะ คุณยายบอกว่าที่หม่ามี๊กับแด๊ดดี้ไปต่างประเทศครั้งนี้ก็เพราะเลือกน้องสาวหรือน้องชายให้กับหนู ไว้รอพวกคุณกลับมา หนูคงมีน้องสาวหรือน้องชายจริงๆแล้ว!”
ขณะที่พูด เธอก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“หม่ามี๊ค่ะ น้องชายหรือน้องสาวนี้ พวกคุณเลือกจากที่ไหนหรอคะ หนูสามารถเลือกที่หนูชอบหรือเปล่าคะ?”
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินแบบนี้ก็นิ่งอึ้ง และไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไรดี
เธอเก็บรอยยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อานอาน เรื่องนี้พวกเราไม่สามารถกำหนดได้เอง ล้วนถูกกำหนดจากสวรรค์ อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นน้องชายหรือน้องสาว หนูต้องรักพวกเขาอย่างแน่นอนจริงไหม?”
“แน่นอนค่ะ”
อานอานหรี่ตาลงเล็กน้อย “หนูเป็นถึงพี่สาว ในอนาคตหนูจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ทำให้พวกเขาเชื่อฟังหนู หนูจะพาพวกเขาไปเที่ยว และจะซื้อของอร่อยให้กับพวกเขาด้วย”
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินเสียงน่ารักของเด็กน้อยไร้เดียงสา หัวใจก็รู้สึกอ่อนแรงทันที
ทันใดนั้นในวิดีโอก็ปรากฏคุณผู้หญิงลู่เดินเข้ามาจากข้างหลังขึ้น
“อานอาน ดึกมากแล้ว ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของหม่ามี๊แล้ว ค่อยคุยครั้งหน้า โอเคไหม?”
อานอานยังไม่รู้สึกอยากคุยอีก แต่เมื่อนึกถึงจิ่งหนิงต้องพักผ่อนก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ค่ะ”
เธอหันหน้ากลับมา พร้อมโบกมือต่อวิดีโอ
“หม่ามี๊ หนูต้องนอนแล้ว คุณเองก็รีบพักผ่อนนะคะ”
จิ่งหนิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “ค่ะ ฝันดีนะคะ”
“ฝันดีค่ะ หม่ามี๊”
อานอานส่งจุ๊บต่อจิ่งหนิงหนึ่งที แล้ววางสายลง
หลังจากสิ้นสุดวิดีโอคอล โม่หนานก็เดินเข้ามาจากข้างหลัง
เธอถือนมแก้วหนึ่งยื่นให้กับจิ่งหนิง ยิ้มและพูดว่า : “วิดีโอคอลกับอานอานอยู่หรอ? ดูท่าทางคุณหนูอานอานจะคิดถึงคุณมาก”
จิ่งหนิงยิ้มแย้ม อันที่จริงเธอเองก็รู้ดีว่าอานอานคิดถึงเธอมาก แต่โชคดีที่เด็กน้อยมีคุณผู้หญิงคอยดูแลอยู่ หากเธอไม่มาทำธุระที่นี่ด้วยตัวเอง คงไม่มีใครช่วยเธอทำได้หรอก
โม่หนานนิ่งเงียบ เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“หนิงหนิง คุณรู้สึกว่าหน้าตาของอานอานกับคุณคล้ายกันไหม?”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้ง ยิ้มและพูดว่า : “โม่หนาน เธอกลายเป็นคนประจบประแจงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
โม่หนานส่ายหน้าด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ใจ
“หนิงหนิง ฉันไม่ได้ประจบประแจง ฉันพูดจริงจัง เมื่อก่อนคุณหนูอานอานยังเด็ก เลยยังไม่ค่อยรู้สึก ตอนนี้นับวันยิ่งเติบใหญ่ เมื่อสังเกตอย่างละเอียด พบว่าหน้าตาคล้ายกับเธอนะ”
จิ่งหนิงเก็บรอยยิ้ม
“หากจะบอกว่าหน้าตาคล้ายคงคล้ายกับลู่จิ่งเซินมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แล้วจะหน้าตาคล้ายฉันได้ยังไงกันหรอ?”
โม่หนานอ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่จิ่งหนิงพูดแทรกขึ้น
“ลู่จิ่งเซินละ? เขาไปไหนหรอ?”
“อ๋อ คุณชายกับซูมู่ออกไปข้างนอก เห็นบอกว่ามีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อย”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว
“วันนี้เขาออกไปตั้งครึ่งวันแล้ว ทำไมยังออกไปตอนกลางคืนอีก? ถึงแม้คุณหมอบอกว่าตอนนี้เขาสามารถขยับตัว แต่บาดแผลยังไม่หายสนิท ร่างกายยังอ่อนแออยู่ ยิ่งข้างนอกอากาศหนาว หากบาดแผลเกิดแย่ลงทำยังไง?”
โม่หนานนิ่งเงียบ จิ่งหนิงรู้ว่าเรื่องนี้กล่าวโทษเธอไม่ได้ ทำได้เพียงขมวดคิ้ว แล้วเดินไปรอเบื้องหน้าหน้าต่าง
ลู่จิ่งเซินกลับมาในครึ่งชั่วโมงต่อมา
ตอนนี้เป็นเดือนพฤศจิกายน ทางตอนเหนือของประเทศFมีอากาศหนาวมาก
จากที่ไกล เธอสามารถเห็นรถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ใต้ตึก
ผู้ชายสวมเสื้อคลุมสีดำ และเดินลงจากรถพร้อมกับซูมู่ แล้วกำลังเดินเข้ามา
เมื่อเห็นแบบนี้ จิ่งหนิงก็ถอนหายใจ แล้วหันหลังกลับเข้าห้อง
ไม่นานลู่จิ่งเซินกับซูมู่ก็มาถึงห้อง
เมื่อพวกเขาเข้ามา จิ่งหนิงก็สัมผัสรัศมีแปลกๆบนตัวพวกเขาทั้งสองคน
เธอรีบให้โม่หนานรีบรับเสื้อที่ฝ่ายตรงข้ามยื่นให้ แล้วซักถามว่า : “ไปไหนมาหรอคะ? ดึกขนาดนี้ แถมข้างนอกก็อากาศหนาวมากด้วย”
ลู่จิ่งเซินจ้องมองเธอ โดยไม่รีบร้อนตอบ แต่ให้ซูมู่กับโม่หนานกลับไปพักผ่อนก่อน เมื่อภายในก้องเหลือเพียงพวกเขาสองคนจึงจะพูดขึ้นว่า : “ผมส่งคนไปสืบเบื้องหลังของผู้หญิงที่พวกเราพบวันนี้”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้ง
ลู่จิ่งเซินจ้องมองเธอ พร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วลากเธอมานั่งบนโซฟา
“คุณเป็นกังวลไม่ใช่หรอ? แทนที่จะเป็นกังวล สู้สืบให้ชัดเจนเพื่อความสบายใจดีกว่า”
ในห้องเปิดเครื่องปรับอากาศอุ่น ผู้ชายกุมมือของเธอด้วยมือที่หนาวเย็น จนทำให้จิ่งหนิงเริ่มรู้สึกแปลกใจขึ้น
เธอรีบสูบลมหายใจ แล้วพยายามอดกลั้นอารมณ์ไว้
“แล้วคุณสืบได้อะไรบ้างหรอ?”
“มีคนกลุ่มหนึ่งติดตามเธออยู่จริงๆ แต่คนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนของตระกูลจื่อจิน แต่รายละเอียดยังไม่ทราบ แต่สามารถคาดเดาได้ว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับตาKเพื่อนของคุณแน่นอน”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้ง
เธอไม่รู้ว่ามันมีนัยอะไรแอบแฝงอยู่ แต่รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น
ทันใดนั้นลู่จิ่งเซินก็จามขึ้น
จิ่งหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และรีบลูบบนแผ่นหลังของเขา จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปรินน้ำอุ่นให้กับเขา
“คุณเป็นอะไรหรอ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ลู่จิ่งเซินส่ายหน้า
“ไม่เป็นอะไร ข้างนอกลมแรงด้วยแหละ”
ขณะที่พูดก็ดื่มน้ำอุ่น
จิ่งหนิงรู้สึกว่าใบหน้าของเขาขาวซีดผิดปกติ ซึ่งแย่กว่าตอนบ่ายของวันนี้มาก ดังนั้นเลยยื่นมือทาบลงบนหน้าผากของเขา
ตอนไม่ทาบจับยังโอเค แต่ตอนทาบพบว่าเขาเป็นไข้ และบนหน้าผากร้อนมาก
จิ่งหนิงเปลี่ยนสีหน้าทันที
“คุณเป็นไข้ทำไมไม่บอกฉัน? เดียวฉันไปตามหมอมาสักครู่นะคะ” ขณะที่พูดก็เตรียมตัวลุกขึ้นเดินไปหาหมอ
ทั้งที่ยังไม่ขยับ ก็ถูกผู้ชายจับข้อมือไว้ แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด
จิ่งหนิงสะดุ้งตกใจเล็กน้อย
“ลู่จิ่งเซิน หยุดเล่นได้แล้ว ตอนนี้บนร่างกายของคุณบาดเจ็บอยู่ แถมเป็นไข้ด้วย หรือว่าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรอ?”
ลู่จิ่งเซินหัวเราะเบาๆ
เขาโอบกอดเธอไว้ แล้วให้เธอนั่งบนตักของตัวเอง และก้มหน้าชิดใกล้กับเธอเล็กน้อย จากนั้นก็วางมือร้อนอุ่นบนท้องของเธอ
“ไม่รีบร้อน เรียกหมอมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ตอนนี้ให้ผมดูลูกก่อน”
ขณะที่พูดก็ก้มตัวลงแนบใบหูบนหน้าท้องของเธอ
เมื่อเห็นแบบนี้ จิ่งหนิงก็ทำตัวไม่ถูกเลย การกระทำแบบนี้เธอไม่สามารถขัดขืนได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ
ลู่จิ่งเซินฟังสักพัก เมื่อไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวอะไรก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ทำไมลูกของเราไม่ขยับ?”
จิ่งหนิงมองบนใส่เขาหนึ่งที
“คุณคิดว่าเด็กสามารถขยับได้หรอ? ตอนนี้เพิ่งสองเดือนเอง แม้แต่หัวใจยังไม่มีเลย หากอยากได้ยินเสียงขยับต้องรออย่างน้อยห้าหกเดือน”