บทที่ 459 สัญญาแปดชาติ
ขณะที่ตัวเรือแล่นผ่าน จานกลมก็ถูกคลื่นทะเลซัดกระจายกลายเป็นเศษชิ้นส่วนสีทองขนาดเล็ก
แสงอาทิตย์สาดส่องบนใบหน้า พร้อมลมพัดผ่านอย่างเย็นสบาย ทำให้รู้สึกเย็นชื่นเป็นพิเศษ
ทันใดนั้นก็มีแรงขนาดใหญ่กระโจนเข้ามาจากข้างหลัง
เธอเบิกตากว้างด้วยสายตาหวาดกลัว และร่างกายของเธอก็ร่วงตกลงมาข้างล่างราวกับเส้นที่เกี่ยวว่าวขาด แสงอาทิตย์สีทองส่งแสงเข้ามาในดวงตา จนทำให้เธอมองเบื้องหน้าเลือนราง จนมองเห็นร่างเงาที่มีแสงประกายสีทองสว่างไสวเบื้องหน้าอย่างเลอะเลือน
เกิดเสียงดัง”ตูม”ขึ้น เธอร่วงตกลงในทะเลอย่างแรง น้ำทะเลอันมหาศาลถาโถมเข้ามาในหู และคอหอยของเธอ ทำให้เธอสำลักน้ำจนเกือบตาย
แต่จู่ๆข้อมือก็ถูกบางอย่างจับไว้
มีคนยกเอวของเธอ พร้อมกับออกแรงยกเธอขึ้นมา
จิ่งหนิงพยายามมออกแรงลืมตาขึ้น และเห็นร่างเงาที่คุ้นเคยหนึ่งขึ้น น้ำทะเลอันมหาศาลทำให้ใบหน้าอันหล่อเขาของเขาเลือนราง แต่ก็ยังสามารถทำให้เธอมองออก
ลู่จิ่งเซิน ทำไมถึงเป็นเขา?
เธออ้าปากขึ้น คิดอยากให้เขาปล่อยมือ แต่เมื่ออ้าปากก็มีน้ำทะเลซัดเข้ามา
รสชาติอันขื่นขมซัดเข้าในคอของเธอ ทำให้เธอสำลัก จนแทบพูดอะไรไม่ได้เลย
ดังนั้นเธอทำได้เพียงจับมือที่จับเอวของเธอคู่นั้นไว้ พร้อมกับส่ายหน้าอย่างแรงต่อเขา
อย่า! อย่ามาสนใจฉัน! รีบหนีไป!
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับปฏิเสธ
เขายังคงจ้องมองเธออย่างยืนหยัด ราวกับว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่มีวันปล่อยมือ
เขาจับเธอไว้ พร้อมว่ายน้ำขึ้นบนบกอย่างเรื่อยๆ ตอนที่ว่ายใกล้ถึงริมทะเล จู่ๆก็มีคลื่นทะเลยักษ์ซัดเข้ามา
เธอรู้สึกว่ามีแรงขนาดใหญ่หนึ่งพุ่งออกมาจากหน้าอกของเธอ ทำให้เบื้องหน้ากลายเป็นท้องฟ้าหมุนตลบแผ่นดินพลิกผัน จากนั้นรสชาติคาวหนาวก็ปรากฏขึ้นในปาก
ส่วนมือที่ออกแรงจับเอวของเธอไว้ ในตอนนี้ได้ปล่อยแล้ว เธอหันหน้ามองข้างล่างด้วยสีหน้าหวาดกลัว ในแสงมืดสลัวนั้นสามารถมองเห็นผู้ชายคนนั้นถูกคลื่นทะเลซัดพาไป
เธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าจับเขา แต่ผู้ชายคนนั้นถูกซัดไปไกลแล้ว ต่อให้เธอพยายามสุดแรงก็ไม่สามารถคว้าจับเขาได้เลย
เธอทำได้เพียงลืมตาจ้องมองผู้ชายคนนั้นถูกคลื่นทะเลซัดพาไปอย่างหมดเรี่ยวแรง ขณะเดียวกันยิ่งถูกซัดไปไกลเท่าไหร่ แสงสว่างก็ยิ่งมืดลง จนหายไปในความมืดมองไม่เห็นอะไร
“อ๊าก!”
จิ่งหนิงอุทานร้องด้วยความตกใจ ขณะเดียวกันก็ตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เธอลุกขึ้นมานั่งบนเตียง แล้วหายใจหอบอย่างแรง ขณะเดียวกันทั่วทั้งตัวก็เหงื่อไหล
ภายในห้องเงียบสงบมาก นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศอันเบา และเสียงหายใจที่สม่ำเสมอของผู้ชายก็ไม่มีเสียงจากไหนอีก
เธอหลับตาลงอย่างหวาดกลัว แล้วพยายามลืมตาขึ้น เมื่อมั่นใจว่าภาพเบื้องหน้าคือความจริง ก็รู้ทันทีว่าเมื่อกี้เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น
อาจเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเธอ ทำให้ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างถูกเธอทำให้ตื่น เขายื่นมือโอบกอดเอวของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขี้เกียจเล็กน้อยว่า
“เป็นอะไรหรอ? ฝันร้ายหรอ?”
จิ่งหนิงถอนหายใจยาวๆ และพูดขึ้นว่า : “เปล่าค่ะ”
ลู่จิ่งเซินลืมตาขึ้น พร้อมกับจ้องมองเธอเงียบๆในความมืด
เหมือนกับสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เลยพยุงตัวเองลุกขึ้นมานั่ง แล้วดึงเธอเข้ามาโอบกอด
“ไม่ต้องกลัว มีผมอยู่”
จิ่งหนิงซบลงบนหน้าอกของเขา เมื่อนึกถึงความฝันเมื่อกี้ ก็ไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่เป็นความฝัน แต่กลับรู้สึกสถานการณ์คุ้นชินมาก ราวกับเคยเกิดขึ้นอย่างนั้น
ความรู้สึกหวาดกลัวปกคลุมไปด้วยจิตใจของเธอ ทำให้เธอตกอยู่ในสภาวะกระวนกระวาย
เธอกุมเสื้อของผู้ชายอย่างแน่น และพูดว่า : “ลู่จิ่งเซิน”
“อืม?”
“คุณคิดว่าเมื่อก่อนหรือว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อน?”
เหมือนกับคนด้านข้างตัวแข็งทื่อ
เขานิ่งเงียบสักพักใหญ่ จนสุดท้ายไม่พูดอะไร
ในความมืดนั้น มีดวงตาเบ้าตาลึกคู่หนึ่งจ้องมองเธอด้วยสายตาสับสน แต่จิ่งหนิงตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ของตัวเอง เลยแทบไม่ได้สังเกต
เธอพูดด้วยน้ำเสียงกังวลว่า : “คุณรู้ไหม? ครั้งแรกที่ฉันพบกับคุณ ฉันก็รู้สึกคุ้นเคยกับคุณมาก ราวกับว่าพวกเราเคยเจอกันเมื่อก่อนอย่างนั้น”
ลู่จิ่งเซินเผยสายตากังวลขึ้น และพูดว่า : “คุณนึกอะไรออกบ้างหรอ?”
จิ่งหนิงส่ายหน้า
จู่ๆเธอก็เงยหน้าขึ้น แล้วหันหน้ามองเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา : “ลู่จิ่งเซิน คุณคิดว่าชาติที่แล้วพวกเราก็เคยอยู่ด้วยกันหรือเปล่า เพราะรู้สึกอยู่ด้วยกันไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงนัดกันพบเจอกันในชาตินี้ ดังนั้นตอนที่ฉันพบคุณครั้งแรก ฉันจึงมีความรู้สึกคุ้นเคยกับคุณมาก”
ลู่จิ่งเซินนิ่งอึ้ง ทำตัวไม่ถูกเลย
ความคิดเห็นที่แสนสวยงามแบบนี้ แน่นอนว่าเขาทำใจทำลายลงไม่ได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “อืม เป็นเพราะเมื่อก่อนผมยังรักคุณไม่มากพอ ดังนั้นชาตินี้ผมจึงต้องรักคุณต่อ ไม่เพียงแค่ชาตินี้รวมถึงชาติหน้าด้วย ดังนั้นคุณนายลู่ ผมขอนัดล่วงหน้ากับคุณถึงชาติหน้า คุณยินยอมไหมครับ?”
จิ่งหนิงจ้องมองเขาอย่างนิ่งเงียบ ถึงแม้อยู่ใกล้กัน และมีแสงมืดสลัว แต่ก็ยังสามารถมองเห็นความจริงใจจากดวงตาของเขา
เธอยิ้มจางๆ ในที่สุดความรู้สึกหวาดกลัวที่ปกคลุมในหัวใจของเธอก็สลายหายไปด้วยคำพูดของผู้ชาย
เธอก้มหน้าลงซบบนหน้าอกของเขา แล้วโอบกอดเอวของเขา จากนั้นก็พูดขึ้นว่า : “ฉันยินยอมค่ะ นัดกันเรียบร้อยแล้วว่าแปดชาติข้างหน้าก็จะอยู่ด้วยกัน คุณต้องรับผิดชอบมาหาฉัน หากคุณหากฉันไม่เจอ ฉันจะเล่นงานคุณ”
ลู่จิ่งเซินหัวเราะเบาๆขึ้น พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
“ครับ ผมจะตามหาคุณ”
ทั้งสองคนนอนกอดกันสักพัก จิ่งหนิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา และพบว่าเวลาใกล้เช้าแล้ว
เวลาหกโมงเช้าตรง
เธอไม่มีอารมณ์นอนหลับพอดี ดังนั้นจึงปล่อยตัวเขา และพูดว่า : “คุณนอนพักผ่อนอีกสักหน่อยเถอะ ฉันจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
แต่ลู่จิ่งเซินกลับส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่เอา ผมก็นอนเพียงพอแล้ว”
เมื่อคืนทั้งสองคนหยอกล้อกันสักพักใหญ่ สุดท้ายก็นอนหลับตั้งแต่หัวค่ำ เมื่อจิ่งหนิงคิดแบบนี้จึงไม่ได้พูดอะไรมาก
หลังจากตื่นนอน อาบน้ำเสร็จ และเห็นว่าซูมู่กับโม่หนานยังนอนหลับพักผ่อนอยู่ เลยไม่ได้รบกวนพวกเขา
จิ่งหนิงวัดอุณหภูมิของลู่จิ่งเซินเล็กน้อย และพบว่าหายเป็นปกติแล้ว เพียงแต่ต้องรอเวลาแปดโมงเช้า เดียวพยาบาลจะมาเปลี่ยนยาให้กับเขา
ทั้งสองคนเดินลงมาข้างล่างพร้อมกัน แล้วเดินเล่นบนสนามหญ้า และสูบรับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกสักพัก
พวกเขาเดินเล่นกันจนถึงแปดโมงเช้าถึงจะกลับห้อง
หลังจากพยาบาลมาเปลี่ยนยาให้ลู่จิ่งเซินเสร็จ โม่หนานก็เดินเข้ามาจากข้างนอก
“ผู้อำนวยการ คุณนายค่ะ ทางนั้นมีข่าวแล้วค่ะ วันนี้ตอนบ่ายสามเตาปาจะมาค่ะ”
จิ่งหนิงพยักหน้าเล็กน้อย “อืม คุณไปจัดการได้เลย ตอนบ่ายพวกเราไปด้วยกัน”
โม่หนานพยักหน้าตอบรับ แล้วหันหลังเดินจากไป
เธอจากไปไม่นาน คิดไม่ถึงว่าจี้หลินหยวนก็เดินเข้ามา
หลังจากจี้หลินหยวนกลับประเทศสองวัน และจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยก็กลับมาประเทศFอีกครั้ง
ตอนที่จิ่งหนิงเห็นเขา เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เลยซักถามว่า : “ไม่ใช่คุณบอกว่าจะกลับแล้วหรอกหรอ? ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”