บทที่ 462 ไม่มีถ้าหาก
“ความสมดุลในตอนนี้ถูกทำลายลง ฝั่งที่จะสูญเสียไม่เพียงแต่กลุ่มมังกร อีกทั้งตระกูล จูเก่อของพวกเราด้วย ดังนั้นผมได้สืบหาว่าใครเป็นคนบงการออกมาจริงๆ และดูว่าใครกันที่ใช้มือคนอื่นในการแทงผม แต่ที่น่าเสียดายก็คือจนถึงปัจจุบันผมยังไม่รู้ว่าเป็นใคร”
ลู่จิ่งเซินฟังแล้วขมวดคิ้วขึ้น
“เรื่องนี้แม้แต่พวกคุณยังตรวจสอบไม่ได้เหรอ?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ แววตาของจูเก่อหลิวเฟิงมืดมนเล็กน้อย
“ครับ เหนือฟ้ายังมีฟ้า หลายปีมานี้ผมคิดว่าตระกูลจื่อจินสำหรับแผ่นดินนี้ อาจจะไม่ได้มีอำนาจปกคลุมทุกสิ่ง แต่ก็นับว่าไม่อาจมองข้ามได้ คิดไม่ถึงว่า……”
เขาถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาพูดขนาดนี้แล้วทุกคนล้วนไม่มีใครสงสัยเขาอีก
พวกเขาสบตากัน จากนั้นลู่จิ่งเซินจึงพูดขึ้นว่า “ครับ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ให้ทำตามที่คุณบอก ต่อจากนี้หากมีข้อมูลอะไรรบกวนแจ้งให้พวกเราด้วย”
จูเก่อหลิวเฟิงพยักหน้า
เขามองไปยังจิ่งหนิงแล้วยิ้มขึ้น
“ตอนนี้เรื่องของพวกคุณได้เจรจากันเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาที่เหลืออยู่คุยเรื่องพวกเราได้หรือยัง?”
ทุกคนล้วนตกตะลึง
มีเพียงจิ่งหนิงที่ขมวดคิ้วเข้าหากัน
เธอลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “พวกเราไม่มีอะไรต้องคุยกัน”
จูเก่อหลิวเฟิงคิดไว้ตั้งแต่แรกว่าเธอจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเพียงแต่ยิ้ม
“ผมรู้ดีว่าในใจของคุณยังโมโห ไม่เพียงแค่เรื่องของแม่คุณเท่านั้น อีกทั้งยังมีการตัดสินใจผิดพลาดจากผมจึงทำให้คุณลู่จิ่งเซินต้องรับบาดเจ็บ
แล้วเรื่องเหล่านี้ผมไม่ได้ตั้งใจก่อให้เกิด ส่วนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้ทำความเข้าใจกันมากเท่าไหร่หนักจึงได้เกิดผลลัพธ์ ความเข้าใจผิดกันยกใหญ่
ตอนนี้โอกาสวางอยู่ข้างหน้า และทำให้พวกเรารู้จักกันดีมากขึ้น ปฏิบัติการอย่างจริงใจ ไม่คิดว่ามันดีกว่าการที่จะเป็นศัตรูกันเหรอครับ?”
จิ่งหนิงมองไปทางเขา แม้ว่าในใจเธอจะยังโมโหอยู่บ้างแต่ก็ยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล
ไม่ว่าตนนั้นจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร แต่การนั่งลงเจรจาและทำความเข้าใจกันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
จิ่งหนิงหันไปมองลู่จิ่งเซิน และเห็นได้ว่าลู่จิ่งเซินกำลังพยักหน้าเป็นความหมายให้เธอลงมือ ดังนั้นเธอจึงนั่งลง
เมื่อจูเก่อหลิวเฟิงเห็นดังนั้น ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงรอยยิ้มอันอบอุ่น และกำชับให้เตาปาเดินออกไป
จากนั้นสั่งให้คนนำชาชั้นดีเข้ามาเสิร์ฟ สุดท้ายจึงค่อยๆมองไปทางจิ่งหนิงแล้วพูดว่า “หน้าตาคุณเหมือนพ่อมากจริงๆ”
จิ่งหนิงส่งเสียงหึๆในลำคอแต่ไม่ได้สนใจเขา เห็นได้ชัดว่าเธอยังมีอคติกับเขาอยู่
แต่จูเก่อหลิวเฟิงก็ไม่ได้นำมาใส่ใจ เขาทำเพียงยิ้มแล้วพูดว่า “จากที่มองดูแล้ว ผมคิดว่าจนบัดนี้คุณคงยังไม่รู้จักชื่อพ่อของตัวเองใช่ไหม? เขาชื่อว่าจูเก่อหลิวหยุนเป็นพี่ใหญ่ของผมเอง ในตอนนั้นเขานับว่าเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถในท้องที่แห่งนี้ ทั้งมีความสามารถและหน้าตาหล่อเหลา คุณหนูตระกูลใหญ่ต่างๆมากมายที่ชื่นชอบเขา”
แม้ว่าภายนอก จิ่งหนิงจะดูมีอคติกับเขาอยู่ เมื่อกล่าวถึงเรื่องพ่อของเธอ แน่นอนว่าเธอต้องมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา
ดังนั้นแม้ท่าทางของเธอจะทำเป็นไม่สนใจแต่ที่จริงแล้วเธอตั้งใจฟังมันมาก
ด้านของ จูเก่อหลิวเฟิงเองก็รู้ว่าเธอคิดอย่างไร เขาจึงไม่ได้นำมาใส่ใจแล้วพูดต่อไปว่า “เรื่องของเขาและแม่ของคุณ ผมไม่ได้รู้มากเท่าไหร่นัก ผมอาจจะเล่าเรื่องราวคร่าวๆให้คุณฟังได้”
ดังนั้นเขาจึงได้เล่าเรื่องราวการเลือกคู่ครองของตระกูลจื่อจินในร้อยกว่าปีมานี้ให้กับเธอฟัง
เขาถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “แต่พ่อของคุณรักความเป็นอิสระมาตั้งแต่เกิด เขาไม่ชอบถูก ใครหรือสิ่งใดเข้ามาควบคุม อีกอย่างยิ่งไม่ชอบการคลุมถุงชนของตระกูลเช่นนี้
ดังนั้นเมื่อตอนที่เขาพบกับแม่ของคุณในมหาวิทยาลัย และได้ตกหลุมรักเธอ เขาเคยพยายามอย่างยิ่งที่จะทำลายกฎของตระกูลเพื่อให้ได้อยู่กับเธอ
แต่ว่ากฎเกณฑ์นี้สืบต่อกันมานับร้อยปีจะไปทำลายง่ายๆได้อย่างไร? อีกทั้งพิษกู่ได้ปลูกถ่ายไปแล้ว นอกจากการให้อีกคนหนึ่งปลูกถ่ายพิษกู่ด้วย จึงจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ มิเช่นนั้นพิษกู่นี้จะเติบโตในร่างกายและไม่อาจแก้พิษได้ง่ายๆ
พ่อของคุณรู้เรื่องนี้ดี แต่สุดท้ายเขาก็ต่อสู้จนไม่สนใจอะไร เนื่องจากเขารักแม่ของคุณอย่างสุดหัวใจ”
จิ่งหนิงได้ยินดังนั้นเธอก็รู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย ใบหน้าอันเย็นชาของเธอดูเหมือนจะดีขึ้นบ้าง มันถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จูเก่อหลิวเฟิงจึงได้พูดต่อไปว่า “เมื่อตอนที่เขาแยกจากแม่ของคุณ ตอนนั้นเขาเองไม่รู้จะทำอย่างไร เนื่องจากเขารู้ดีว่าตนนั้นไม่ใช่คนที่จะอยู่เคียงข้างแม่ของคุณไปจนวันสุดท้าย หากเธอยังอยู่กับเขาต่อไป อาจจะทำให้แม่ของคุณต้องตัดสินใจคิดสั้น
ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดเดินทางกลับมาบ้าน ท้ายที่สุดได้เสียชีวิตลงในสงครามแอฟริกา ซึ่งตอนนั้น อยู่ในความวุ่นวายมากถึงขนาดที่ตระกูลจื่อจินของเราก็ไม่กล้าจะยื่นมือเข้าไป แต่เขากลับปกปิดตัวตนที่แท้จริงและเข้าไปสมัครเป็นทหาร เนื่องจากเขาละทิ้งความหวังในการมีชีวิตอยู่ หัวใจของเขาตายไปแล้ว เขาจะมีชีวิตรอดออกมาได้อย่างไร?”
จิ่งหนิงมองดูเขาอย่างเงียบๆ ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเสียดายและเสียใจ
“น่าเสียดายจริงๆ เขาคิดว่าเขาทำแบบนี้แล้วจะสามารถปกป้องแม่ของคุณเอาไว้ได้ แต่คาดไม่ถึงว่าการจากไปของเขาทำให้แม่ของคุณเป็นโรคซึมเศร้าและจากไปหลังจากนั้นไม่กี่ปี นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจสำหรับคู่รักทั้งสอง แต่โชคดีที่ตอนนี้คุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากว่าวิญญาณของพวกเขามองอยู่ก็คงจะรู้สึกดีใจไม่น้อย”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้นแล้วถามว่า “ตอนนั้นก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำมันลงไป เขาไม่คิดมาก่อนหรือไงว่าการตายของเขาจะทำให้หัวใจของแม่ฉันเจ็บปวดและตายตาม?”
จูเก่อหลิวเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า บนโลกนี้ใครกันจะรู้เรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้นได้ หากมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นได้จริงๆก็คงไม่ต้องมีเรื่องราวต้องเสียใจตามหลังมากมายขนาดนี้”
เมื่อคำพูดนี้พูดออกไป ทำให้บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ บัดนี้ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
จูเก่อหลิวเฟิงพูดขึ้นว่า “ตอนนั้นที่พ่อของคุณเดินทางไปยังสนามรบเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคุณอยู่ ผมคิดว่าถ้าหากเขารู้ว่ามีคุณก็คงจะหักห้ามใจไม่เลือกเดินทางที่ไม่อาจกลับมาได้แบบนั้น”
จิ่งหนิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว พูดคำว่าถ้าหากมาเพื่ออะไรกัน?”
จูเก่อหลิวเฟิงชะงักลงชั่วครู่ จากนั้นยิ้มออกมาเจื่อนๆ
“ที่คุณพูดก็ถูก ในเมื่อตอนนี้คุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ของบางอย่างที่เป็นของคุณผมควรจะคืนให้คุณได้แล้ว ถ้าคุณมีเวลาก็ขอเชิญเดินทางไปที่บ้าน แล้วผมจะอธิบายกับคุณอย่างละเอียด”
ท่าทางของจิ่งหนิงค่อนข้างเยือกเย็น เธอไม่มองดูเขาเพียงแต่พูดออกมาเบาๆว่า
“ไม่จำเป็นค่ะ เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง”
แม้ว่าเธอจะมีความรู้สึกสนใจและอยากรู้อยากเห็นเรื่องของพ่อ แต่เธอก็ยังไม่อาจรับได้เรื่องการที่ตนเป็นญาติกับตระกูลจูเก่อได้
ดังนั้น เธอถึงได้ปฏิเสธการแนะนำจากจูเก่อหลิวเฟิงอยู่บ้าง
จูเก่อหลิวเฟิงเห็นดังนั้นเขาก็ไม่ได้พยายามฝืนใจเธอเพียงพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ คุณค่อยๆไปคิดดู แต่วางใจได้ว่าสิ่งของใดที่เป็นของคุณ ผมจะทำการเก็บรักษาเอาไว้ให้ จะไม่มีใครกล้ามาขโมยหรือแย่งชิงไปเด็ดขาด รอให้คุณคิดไตร่ตรองให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาหาผม เมื่อถึงเวลาผมจะคืนให้คุณทุกสิ่ง”
จิ่งหนิงไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอนั่งเงียบอยู่สักครู่ก่อนจะลุกขึ้นยืน