บทที่ 468 อาหารบำรุงร่างกาย
จิ่งหนิงไม่รู้จะทำอย่างไร เธอนั่งอยู่ตรงนั้นสักครู่และยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
เธอเคยพบเจอกับพวกครูอุทิศตน แต่การพยายามแบบนี้…… มันช่าง……
เธอยกมือขึ้นมานวดขมับ และไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผ่านไปไม่นานเซ่เซียงหลิงก็ยกน้ำซุปออกมาเสิร์ฟ
“พี่สะใภ้ ฉันตั้งใจทำให้คุณโดยเฉพาะ เป็นน้ำซุปที่บำรุงเลือดและร่างกาย มีสรรพคุณต่างๆมากมายเหมาะสำหรับสตรีตั้งครรภ์เลยค่ะ”
จิ่งหนิงมองเข้าไปในถ้วยซุปนั้น สีสันขาวแดงตัดกัน หน้าตาช่างน่าดึงดูดให้รับประทาน
เธอจึงได้ยินแล้วพูดกับเสียงลิงว่า “ขอบใจนะ เหนื่อยแย่เลย”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันควรทำอยู่แล้ว”
ท่าทางของเซ่เซียงหลิงดูเป็นกันเองมาก จิ่งหนิงขยับริมฝีปากขึ้นแต่ไม่ได้พูดอะไร
เธอหันกลับไปกำชับคนรับใช้ว่า “ไปดูซิว่าคุณชายออกกำลังกายเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วก็เลือกให้เขามากินข้าวด้วยกัน”
“ค่ะ”
คนรับใช้รีบเดินจากออกไปคาดไม่ถึงว่าเมื่อเดินออกมาถึงประตูก็ชะงักลง
“คุณชาย”
ทุกคนหันหลังกลับไปดู และพบว่าลู่จิ่งเซินสวมชุดลำลองยืนอยู่ปากประตูห้องครัว
เนื่องจากในห้องฟิตเนสของคฤหาสน์มีห้องอาบน้ำอยู่ด้วย จึงพบว่าเขานั้นเปลี่ยนเป็นชุดลำลองอีกชุดหนึ่ง ต่างไปจากชุดเมื่อเช้า
ผมของเขายังคงมีหยดน้ำเกาะอยู่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะอาบน้ำมา
จิ่งหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “กลับมาแล้วเหรอคะ รีบมาชิมเร็วเข้า เซียงหลิงลงมือทำด้วยตัวเองเลยนะคะ”
ลู่จิ่งเซินชายตาไปมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาเพียงแค่พยักหน้าจากนั้นเดินเข้าไปข้างๆจิ่งหนิง ลากเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง
เมื่อเซ่เซียงหลิงเห็นดังนั้น ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงหันหลังกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง
ตอนออกมาในมือเธอถือน้ำซุปอีกชามหนึ่ง ใบหน้าของเธอยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พี่คะ ซุปทะเลนี้ฉันทำให้พี่โดยเฉพาะ มีปลิงทะเลตุ๋นใส่ถังเช่าด้วย แต่พี่สะใภ้กินไม่ได้ฉันเลยแยกไว้ต่างหาก พี่ลองชิมดูสิคะ”
เปลือกตาของจิ่งหนิงกระตุกเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้น
แต่เซ่เซียงหลิงดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงการถูกจ้องมอง ดวงตาอันเป็นประกายสดใสมองไปที่ลู่จิ่งเซิน
เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ผมไม่ชอบอาหารทะเล เอากลับไปเถอะ!”
เมื่อพูดจบเขาก็ไม่ได้แม้แต่จะชายตาไปมอง แต่สั่งให้คนรับใช้รินน้ำให้แทน
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซ่เซียงหลิงแข็งทื่อลงทันใดเธอหันไปมองทางจิ่งหนิงเพื่อขอความช่วยเหลือ
เธอเบะปากแล้วพูดออกมาอย่างเสียใจว่า “พี่สะใภ้คะ ฉันทำอะไรไม่ถูกต้องหรือเปล่า? พี่โกรธฉันเหรอคะ? ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเขาชอบกินอาหารทะเลนี่นา”
ที่จริงแล้วลู่จิ่งเซินชื่นชอบอาหารทะเลมาก และในวันนี้เซ่เซียงหลิงก็ต้องการทำอาหารที่เขาโปรดปรานเพื่อให้เขาชอบ
เธอได้แต่ยิ้ม นึกถึงหน้าของแม่ลู่ที่จากไปแล้วอีกทั้งคุณย่า ไม่อยากทำให้เธอต้องอับอายมากไปกว่านี้
“ในเมื่อทำเสร็จแล้วคุณลองชิมดูหน่อยเถอะค่ะ”
ลู่จิ่งเซินมองเธอด้วยท่าทางตกตะลึง?
“คุณให้ผมดื่มเหรอ?”
“ค่ะ ทำไมเหรอ?”
“…… งั้นผมดื่มก็ได้”
จิ่งหนิง “……”
เซ่เซียงหลิง “……”
ในบรรยากาศมีกลิ่นความรักลอยมาได้ยังไงกัน?
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซ่เซียงหลิงแข็งเสียจนแทบเป็นน้ำแข็ง ยังดีที่ลู่จิ่งเซินนั้นฟังคำพูดของจิ่งหนิง เมื่อสั่งให้เขาดื่มเขาก็ยกช้อนขึ้นมาจิบ
เซ่เซียงหลิงจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ซุปนั้นเป็นยาชูกำลังชั้นเยี่ยมสำหรับผู้ชาย และเธอใช้เวลาปรุงมันมากกว่า 3 ชั่วโมง!
จิ่งหนิงมอง ไปทางเซ่เซียงหลิงแล้วพูดขึ้นว่า “อย่ามัวยืนอยู่สิคะ นั่งลงกินด้วยกันสิ”
เซ่เซียงหลิงจึงได้นั่งลงตรงข้ามอย่างว่าง่าย
บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเป็นไปอย่างไม่ค่อยดีนัก แต่ด้วยการจัดการอันชาญฉลาดของจิ่งหนิง จึงทำให้ไม่บึ้งตึงจนเกินไป
มองผิวเผินแล้วก็ค่อนข้างไปได้ดี
เพียงแต่เธอรู้สึกได้ว่าเหมือนอาหารวันนี้จะเข้ากันได้ดีทีเดียว
อืม อาหารทุกจานมีส่วนผสมของวัตถุดิบบำรุงกำลัง แม้แต่ในผักก็ยังใส่หอยเชลล์ด้วย
แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากรู้สึกว่าเซ่เซียงหลิงได้จัดเตรียมเอาไว้ให้เธอโดยเฉพาะ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ดีต่อสุขภาพของสตรีมีครรภ์
อีกอย่างเธอก็ออกกำลังกายโดยตลอด ทุกวันเธอจะต้องเดินอย่างน้อย 5 กิโลเมตร แม้ว่าร่างกายของเธอจะไม่สะดวกนัก แต่เธอก็พยายามออกกำลังกายทุกวันติดต่อกัน
ดังนั้นต่อให้เธอทานอาหารเสริมมากอีกสักหน่อยก็ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะตัวใหญ่เกินไป
อาหารมื้อนี้ดูเหมือนจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ
ทันใดนั้นเองเซ่เซียงหลิงก็กรีดร้องขึ้น
“พี่คะ พี่กินเผ็ดไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? อาหารจานนี้ฉันเตรียมไว้ให้พี่สะใภ้ พี่อย่ากินเลย เดี๋ยวพี่จะแพ้เปล่าๆ”
ลู่จิ่งเซินกำลังยกตะเกียบจะหยิบอาหารรสเผ็ดใส่ในจานของจิ่งหนิง
อาหารจานนี้เขากำชับกับคนรับใช้ว่าจะต้องเสิร์ฟทุกมื้อ ในเดือนนี้รสนิยมของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ละมื้อจะต้องมีอาหารรสเผ็ด และกินมันบ้างเล็กน้อยจึงรู้สึกดี
เนื่องจากเธอกินมันติดต่อระยะเวลา 1 เดือนแล้ว ก่อนหน้านี้ที่จิ่งหนิงเดินทางไปต่างประเทศ และพักอยู่ที่โรงพยาบาลต่างประเทศเธอก็ต้องกิน
ตอนนี้เธอกลับมาแล้วและแน่นอนว่า คนในบ้านไม่มีใครลืม ดังนั้นอาหารมื้อกลางวัน ต่อให้เซ่เซียงหลิงเป็นคนจัดการ แต่คนรับใช้ก็ยังคงเสิร์ฟอาหารเผ็ดนี้
แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น
เมื่อเห็นเซ่เซียงหลิงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด และนำอาหารตามนั้นไปวางไว้ข้างๆตน จากนั้นจึงนำปลานึ่งวางไว้ข้างหน้าเขา
แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจว่า “พี่คะ ที่ชอบกินปลาไม่ใช่เหรอ นี่ค่ะ”
จิ่งหนิงชะงักไปชั่วครู่ และมองตามอาหารจานนั้นที่ถูกย้ายไป อดไม่ได้ที่จะโมโหจนยิ้มออกมา
ลู่จิ่งเซินกินพริกไม่ได้อย่างนั้นเหรอทำไมเธอถึงไม่รู้?
ช่วงนี้ตอนที่อยู่บ้านเธออยากกินอะไรเขาก็จะกินตาม เขากินมาหลายต่อหลายครั้งไม่เคยเห็นว่าครั้งไหนเขาจะแพ้อาหารเลย
เธอหันไปทางลู่จิ่งเซินและเลยถามว่า “คุณแพ้พริกเหรอคะ?”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดด้วยเสียงต่ำทุ้มว่า “เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตอนนั้นผมเคยแพ้หลังจากนั้นก็ค่อยๆหายแล้วไม่แพ้อีก”
“อ๋อเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีปัญหา”
เซ่เซียงหลิงจึงได้ยิ้มออกมาอย่างเขินอาย
เธอยิ้มอย่างไม่เต็มใจแล้วพูดว่า “ถ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้วค่ะ ขอโทษนะคะพี่สะใภ้ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตกใจ แต่ก่อนหน้านี้ฉันรู้จักร่างกายของพี่ดี จึงรู้ว่าเขาแพ้พริก พี่อย่าเอาไปใส่ใจเลยค่ะ”
ดวงตาของจิ่งหนิงดูเยือกเย็นเล็กน้อย
แต่เธอก็ยังคงไม่พูดอะไรเพียงแค่ยิ้ม ออกมาอย่างเย้ยหยัน
“ไม่หรอกค่ะ นี่ก็เป็นเพราะความหวังดีห่วงใยของคุณ การที่มีคนห่วงใยเขาฉันดีใจจะตาย จะรังเกียจได้ยังไงล่ะคะ?”
คำพูดนี้ฟังไปแล้วอาจจะ ดูเย็นชาไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อครู่
ลู่จิ่งเซินเหมือนจะสัมผัสได้ คิ้วของเขาเลิกขึ้น
เซ่เซียงหลิงฉีกยิ้มออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เธอเป็นคนฉลาด การที่จิ่งหนิงไม่ได้ฉีกหน้าเธอต่อหน้าคนอื่นๆแบบนี้ แน่นอนว่าเธอคงไม่พูดมันออกมาให้มากกว่านี้
ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งทอดสะพานให้เธอลงมา ก็ควรจะลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ