บทที่ 469 โผสู่อ้อมกอด
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบลง จิ่งหนิงก้มหน้าก้มตากินอาหารโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่มีการแสดงออกใดๆบนสีหน้า
ผ่านไปสักพักเธอจึงวางช้อนลงแล้วพูดว่า “ฉันกินอิ่มแล้วค่ะพวกคุณค่อยๆกินนะคะ”
เมื่อพูดจบก็เตรียมตัวลุกจากไป
แต่ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งเข้ามาคว้าเธอเอาไว้ ลู่จิ่งเซินวางตะเกียบลงแล้วพูดขึ้นว่า “ผมไปด้วย”
จิ่งหนิงเลิกคิ้วขึ้น
เซ่เซียงหลิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนหน้านี้เธอยุ่งอยู่กับการดูแลพวกเขาทั้งสองคนเธอจึงไม่ค่อยได้กินอะไรเข้าไป
ตอนนี้เจ้าของบ้านทั้งสองคนลุกออกไปแล้ว เธอถือชามข้าวไว้ในมือจะกินต่อก็ไม่ได้ไม่กินก็ไม่ได้
จิ่งหนิงยิ้มแล้วบอกว่า “ขอโทษด้วยนะคะคุณเซ่คุณเสียเวลาตั้งครึ่งวันไม่มีแม้แต่เวลาจะกินข้าว แต่ตอนนี้ฉันท้องแล้วก็รู้สึกเหนื่อยอ่อนง่ายกว่าเดิม ขออนุญาตให้พี่ชายของคุณส่งฉันขึ้นไปพักผ่อนเสียก่อน คุณไม่รังเกียจที่จะกินข้าวอยู่คนเดียวที่นี่ใช่ไหมคะ?”
เซ่เซียงหลิงฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ไม่รังเกียจค่ะ”
“งั้นก็ดีค่ะ”
จิ่งหนิงหันหลังกำลังจะเดินไป ลู่จิ่งเซินเข้ามาพยุงเธอขึ้นไปบนห้องนอนชั้นบน
เมื่อเข้าไปในห้องจิ่งหนิงก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป “ฉันไม่ชอบเธอ”
ลู่จิ่งเซินยิ้มออกมาแล้วพยุงเธอขึ้นไปนั่งบนเตียงก่อนจะพูดออกมาว่า “ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
จิ่งหนิงเงยหน้ามองเขาแล้วขมวดคิ้วขึ้น
“ลูกพี่ลูกน้องของคุณคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมมากจริงๆถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าคุณย่าและแม่ของคุณ ฉันก็คงไม่ต้อนรับเธอหรอก”
ลู่จิ่งเซินพึมพำออกมาว่า
“พวกเราไล่เธอกลับไปดีไหม?”
จิ่งหนิง “……”
เธอครุ่นคิดอยู่ 2 วินาทีก่อนจะโบกมือด้วยความรำคาญ
“ช่างมันเถอะค่ะ ถ้าจะตีหมาก็ต้องดูเจ้าของด้วย แม้ว่าคุณนายอาจจะไม่พูดอะไร แต่ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูที่บ้านเธอ ก็คงจะมีคนบอกว่าพวกเรารังแกเธอ ดีไม่ดีอาจจะมีคนมาพูดจาถากถางมันก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก”
ลู่จิ่งเซินหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะนั่งยองๆตรงหน้าเธอแล้วช่วยเธอถอดรองเท้า
จากนั้นเอนกายเธอพิงไปที่เตียง ก้มลงจูบหน้าผากแล้วพูดว่า “ก็แค่วันนี้เท่านั้นแหละครับจะไม่มีครั้งหน้าอีกต่อไปแล้ว บอกกับเธอว่าไม่มีใครอยู่ ถ้าเป็นแบบนี้อยู่สองสามครั้งก็คงไม่มาอีก”
จิ่งหนิงพยักหน้าแล้วหลับตาลง
“ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ขอนอนก่อนนะคะ”
“ครับ คุณนอนเถอะ ผมจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเอง”
“ค่ะ”
จิ่งหนิงหลับตาลงนอนอย่างรวดเร็วโดยมีลู่จิ่งเซินกุมมือเธอเอาไว้จนกระทั่งเธอหลับ จึงนำมือเธอใส่เข้าไปในผ้าห่มแล้วลุกจากไป
เขาไม่ได้เดินลงไปด้านล่างแต่กลับเข้าไปในห้องหนังสือ
หลังจากที่เลือกหนังสืออยู่บนชั้นสักพักท้ายที่สุดเขาก็หยิบหนังสือประวัติศาสตร์ตะวันตกออกมา
เมื่อเดินออกมาจากห้องหนังสือ เขาก็เห็นร่างหนึ่งย่องเข้ามา
จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“พี่คะ พี่สะใภ้หลับไปแล้วเหรอ?”
ไม่มีการแสดงออกใดๆจากสีหน้า เขามองไปยังเซ่เซียงหลิง แล้วพบว่าในมือเธอมีถ้วยซุปหรือชาก็ไม่รู้อยู่ในมือ
เดิมทีคิดว่าถ้าเธอกินอิ่มแล้วคงจะกลับไปเองคิดไม่ถึงว่าเธอยังอยู่ที่นี่
เขาถามขึ้นเบาๆว่า “หลับไปแล้วมีอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพอดีฉันเห็นว่าเมื่อตอนกลางวันพี่กินไปนิดเดียวก็เลยทำ ซุปเก๋ากี่สาลี่ มาให้พี่ มีสรรพคุณบำรุงมาก เหมาะสำหรับช่วง Afternoon Tea……”
เธอยังไม่ทันพูดจบกลับถูกลู่จิ่งเซินพูดขัดขึ้นมา
“ไม่เป็นไรผมไม่ชอบอาหารหวาน”
เมื่อพูดจบเขาก็เดินผ่านเธอออกไปข้างนอก
แต่เซ่เซียงหลิงก้าวตามออกไปและรั้งเขาเอาไว้
“พี่คะ!”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“มีเรื่องอะไรอีกเหรอ?”
“คือว่าฉัน……”
ภายใต้ออร่าอันแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ทำให้เธอพูดไม่ออกและใบหน้าแดงก่ำ
หลังจากนั้นไม่นานจนได้พูดออกมาว่า “พี่คะเมื่อตอนบ่ายพี่กินอาหารบำรุงเข้าไปเยอะมาก ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้วกลัวว่าพี่จะเป็นหวัด ดื่มซุปนี้เข้าไปเถอะค่ะ”
ลู่จิ่งเซินหรี่ตามองไปยังชามซุปที่อยู่ในมือเธอ สายตาของเขาแฝงไปด้วยความเยือกเย็น
“ในเมื่อรู้ว่าอากาศเริ่มเย็นแล้วคุณจะทำอาหารพวกนั้นมาทำไม แล้วตอนนี้ก็ทำซุปร้อนๆมาให้ผมอีก คุณว่างมากหรือไง?”
ใครก็ตามที่รู้จักลู่จิ่งเซินก็จะรู้ว่าเขานั้นจะพูดจาตรงไปตรงมาไม่เคยอ้อมค้อม
แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดตรงแบบนี้
คำพูดของเขาช่างเยือกเย็นและทำให้คนฟังรู้สึกอึดอัดใจ
เป็นครั้งแรกที่เซ่เซียงหลิงถูกคนอื่นตำหนิต่อหน้าตรงๆแบบนี้ หน้าของเธอไม่อาจเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป
“พี่คะ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจฉันแค่คิดว่าอยากจะทำให้ดีกว่านี้ฉัน……”
ท่าทางอันตื่นตระหนกของเธอและนอบน้อมถ่อมตน ราวกับกระต่ายขาวตัวน้อยที่ทำอะไรผิด
แม้ว่าเซ่เซียงหลิงอาจจะไม่ใช่หญิงสาวที่งดงามมาก แต่หากอยู่ในฝูงชนเธอก็นับว่างดงามไม่แพ้ใคร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอ่อนโยนของเธอ เป็นภาพลักษณ์ที่ผู้ชายหลายๆคนชื่นชอบ
บรรยากาศเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่นๆกลัวว่าคงจะทนไม่ได้และไม่กล้าจะต่อว่าเธออีกต่อไป
ในทางกลับกันคงจะเข้ามาปลอบโยนเธอและโทษที่ตัวเองพูดจาตรงเกินไป
แต่ว่าผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้กลับมองเธออย่างเฉยเมยเขาไม่พูดอะไรและเดินผ่านเธอออกไป
“จากนี้คุณไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีก พี่สะใภ้สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีไม่จำเป็นต้องให้คุณมาเสียเวลาดูแล”
ร่างกายของเซ่เซียงหลิงสะดุ้งเล็กน้อย
เมื่อพบว่าเขากำลังจะเดินจากไป เธอก็กัดฟันจากนั้นวางซุปในมือลง แล้วพุ่งตัวเข้าไปกอดเอวของเขาไว้จากด้านหลัง
“พี่คะ”
วินาทีต่อมาพลังอันมหาศาลก็สะบัดให้เธอออกจากตัว
แต่เธอหรือจะยอมแพ้ รีบร้องไห้และกอดเขาพัวพัน
“พี่คะฉันขอร้องช่วยฉันเถอะ วันนี้ฉันทำได้เพียงหันเข้าหาพี่เท่านั้นถ้าพี่ไม่ช่วยฉันฉันคงต้องตายลูกเดียว ฉันขอร้องนะคะ”
ลู่จิ่งเซินทนไม่ไหวอีกต่อไปเขาตะโกนด้วยความโกรธว่า “ปล่อยมือ!”
“ไม่ค่ะ ถ้าพี่ไม่ตกลงฉันก็ไม่ปล่อย พี่คะ พี่สะใภ้ท้องได้ 3 เดือนแล้วพี่ก็ยังหนุ่มยังแน่น พี่อดทนเอาไว้ไม่รู้สึกอึดอัดเหรอคะ? ให้ฉันช่วยพี่ดีไหมฉันทำได้……”
คำพูดที่ไร้ยางอายเช่นนี้ลู่จิ่งเซินแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ความโมโหที่ระเบิดออกมาจากภายใน เขาสะบัดเธอออกด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เขาหันไปมองผู้หญิงที่ล้มลงกองอยู่บนพื้นแล้วกัดฟันพูดว่า “คุณมาถึงที่นี่เพื่อต้องการเรื่องแค่นี้เหรอ?”
เซ่เซียงหลิงไม่ได้ตอบ เธอเพียงแค่ร้องไห้ ชุดเดรสของเธอที่สวมใส่มาเมื่อถูกดึงก็ทำให้ขอบเสื้อ ที่เป็นตัววีเปิดออก เผยให้เห็นผิวขาวอยู่ด้านใน
เส้นเลือดบนหน้าผากของลู่จิ่งเซินกระตุกขึ้นมาทันใด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจและคลื่นไส้
จากนั้นตะโกนออกมาเสียงดังว่า “ป้าหลิว!”
ป้าหลิวพี่กำลังยุ่งอยู่ในสวนหลังบ้านเธอจึงไม่ได้ยินอะไร เมื่อลู่จิ่งเซินเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับเขาจึงก้าวลงบันไดเพื่อไปหาด้วยตัวเอง
แต่ผู้หญิงที่นั่งกองอยู่บนพื้นก็พยายามลุกขึ้นมาแล้วกอดเขาจากด้านหลังอีกครั้งหนึ่ง
“อย่าไปนะคะพี่ ฉันชอบพี่นะคะ พี่รู้หรือเปล่าว่าฉันรักพี่ขนาดไหน ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าตัวตนของฉันต่ำต้อยไม่คู่ควรกับคุณ แต่จนกระทั่งคุณแต่งงานฉันจึงได้รู้ว่าคุณไม่สนใจสิ่งเหล่านี้
ผู้หญิงของคุณตอนนี้ตัวตนของเธอสู้ฉันไม่ได้ด้วยซ้ำแต่เธอก็ยังแต่งงานกับคุณและเป็นผู้หญิงของคุณได้ แล้วทำไมฉันจะไม่ได้ล่ะ? พี่คะ ฉันขอร้อง เก็บฉันไว้เถอะนะคะ! ฉันจะทำตัวเชื่อฟังที่ทุกอย่าง และจะทำให้พี่มีความสุขมากกว่าพี่สะใภ้แน่นอน”