บทที่ 470 หมดสิ้นหนทาง
ลู่จิ่งเซินโมโหจนหน้าดำคร่ำเครียด ในขณะที่กำลังจะผลักเธอออกไปประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกและมีเสียงของผู้หญิงดังขึ้นอย่างประหลาดใจว่า
“พวกคุณทำอะไรกันน่ะ?”
……
หลังจากนั้น 5 นาที ณ ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่ง
จิ่งหนิงนั่งอยู่บนโซฟา โดยมีลู่จิ่งเซินนั่งอยู่ข้างๆเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนตรงข้ามเป็นเซ่เซียงหลิงที่นั่งทำหน้าเศร้าสร้อย
ป้าหลิวรีบวิ่งออกมาจากสวนหลังบ้านในตอนแรกเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินเรื่องที่สาวใช้ในบ้านเล่าให้ฟัง สีหน้าของเธอก็ไม่สู้ดี
คนรับใช้น้ำชาเข้ามาเสิร์ฟด้วยความนอบน้อม จิ่งหนิงยกแก้วขึ้นมาดื่มแล้วจึงพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า “พูดมาสิคะเกิดอะไรขึ้น?”
เดิมทีเธอกำลังนอนกลางวัน ในขณะที่เธอกำลังงัวเงียก็คล้ายกับได้ยินเสียงดังออกมาจากข้างนอก
ช่วงนี้เธอเผชิญหน้ากับเรื่องราวหลายอย่าง อีกครั้งกำลังตั้งครรภ์ เธอนอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจึงได้ลุกขึ้นมาดู
คาดไม่ถึงว่าจะเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อนึกถึงภาพที่เธอเห็นเมื่อสักครู่สายตาของเธอก็มองไปยังทั้งสองคนยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ฉันนอนกลับกลางวันอยู่ที่บ้านแท้ๆ แต่ยังไม่ทันไรก็ลุกขึ้นมาจับชู้ได้ พวกคุณคิดว่าฉันเป็นคนใจดีเกินไปหรือเห็นฉันเป็นเหมือนอากาศกัน?”
ลู่จิ่งเซินเบ้ปากแล้วมองไปทางเธอด้วยท่าทางเสียใจ
“ผมเปล่า”
จิ่งหนิงยกมือขึ้นเป็นความหมายว่าให้เขาหยุดพูด
“คุณเซ่ คุณมาเป็นแขกที่บ้านของฉัน ฉันไม่ได้ทำให้คุณลำบากใจแม้แต่น้อย แม้ว่าการกระทำบางอย่างของคุณจะทำให้ฉันไม่รู้สึกสบายใจแต่ฉันก็สามารถทนมันได้เมื่อนึกถึงหน้าคุณหญิง จึงทำให้คุณคิดว่าฉันรังแกง่ายและคุณจะทำอย่างไรฉันก็ได้อย่างนั้นเหรอ?”
สีหน้าเซ่เซียงหลิงซีดลงไปทันทีผ่านไปสักพักเธอจึงพูด ออกมาเบาๆว่า “ขอโทษค่ะพี่สะใภ้ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจอะไร?”
สายตาของจิ่งหนิงมองไปที่เธออย่างเยือกเย็นไม่มีความอบอุ่นเหลือแม้แต่น้อย
“ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอาหารเป็นยาโด๊ป หรือไม่ได้ตั้งใจที่จะอ่อยผู้ชายของฉันลับหลัง?”
เซ่เซียงหลิง “……”
คำพูดของจิ่งหนิงเมื่อสักครู่ คำว่าผู้ชายของฉันนั้นทำให้คนบางคนรู้สึกพอใจและยิ้มขึ้นมา ใบหน้าที่ราวกับมีพายุเข้าของเขาคลี่คลายลงมาก
“ที่รักครับ คุณอย่าโมโหไป ไม่ดีต่อลูกน้อยของเราที่อยู่ในท้องนะครับ”
เขาเอามือขึ้นไปลูบที่หลังเธอ 2 ครั้ง
แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกจิ่งหนิงจ้องตาเขม็ง
ลู่จิ่งเซิน “……”
เขาทำผิดอะไรกัน?
จิ่งหนิงไม่มีอารมณ์มาสนใจเขา เธอพูดออกมาเพียงว่า “คุณเซ่ ฉันไม่ต้องการคำอธิบายจากคุณ พูดไปพูดมาสุดท้ายก็ไร้เหตุผล
หลายปีมานี้พวกผู้หญิงที่ต้องการจะมาอ่อยผู้ชายของฉัน มากมายจนนับไม่ถ้วน ถ้าฉันจะต้องมาจัดการทีละคนก็คงจัดการไม่หมด เห็นแก่ความเป็นญาติกัน เรื่องนี้ฉันจะไม่ประกาศออกไป
อย่างน้อยก็ถือว่าฉันไว้หน้าคุณ แต่ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้คาดว่าต่อไปคงนับญาติกันไม่ได้อีก ต่อไปนี้ตระกูลลู่ของเรา ไม่ต้อนรับคุณอีกต่อไป คุณมาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้น!”
เมื่อจิ่งหนิงพูดจบก็เรียกป้าหลิวออกมาให้ส่งแขก
เซ่เซียงหลิงเห็นดังนั้น สีหน้าของเธอที่เดิมก็ซีดเผือดอยู่แล้วกลับซีดลงกว่าเดิม
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ไป! พี่สะใภ้ ฉันผิดไปแล้ว ยกโทษให้ฉันได้ไหม! ต่อจากนี้ฉันไม่กล้าอีกแล้ว เมื่อสักครู่ฉันหลงผิดไปชั่วขณะฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น”
จิ่งหนิงมองไปที่เธออย่างเย็นชา
“ไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นเหรอ เหอะๆจากที่ฉันมองดูเธอวางแผนมานานแล้วสิ”
ตอนนี้ในที่สุดเธอก็เข้าใจเสียทีว่า ทำไมลูกพี่ลูกน้องที่พบเจอกันไม่กี่ครั้งจึงได้กระตือรือร้นมาเยี่ยมเธอ
มาเยี่ยมเธอที่ไหนกัน มาหาลู่จิ่งเซินชัดๆ!
อีกทั้งยังทำอาหารมากมาย มองจากภายนอกอาจเห็นว่าทำอาหารบำรุงกำลังให้เธอ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เธอทำให้ลู่จิ่งเซินต่างหาก
ต้องการอาศัยโอกาสตอนที่เธอตั้งท้องแทรกเข้ามาตรงกลาง
หึๆ…… วางแผนมาได้ถึงขั้นนี้ช่างหน้าด้านจริงๆ!
จิ่งหนิงไม่อยากจะพูดคำที่เธอคิดอยู่ในใจนี้จึงได้พูดออกมาเพียงว่า “คุณไม่ใช่คนโง่ ในใจของคุณคิดวางแผนอะไรไว้ คุณไม่พูด ฉันไม่ถาม ทุกคนก็คงรู้ดี คุณต้องบีบบังคับให้ฉันพูดความจริงเหล่านั้นออกมาด้วยเหรอคะ? ฉันคิดว่ามันคงไม่ส่งผลดีต่อคุณสักเท่าไหร่ คุณแน่ใจเหรอว่าจะให้ฉันพูดต่อไป?”
ตอนนี้เซ่เซียงหลิงจึงได้เข้าใจว่า ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ตอนแต่งงานกับ ลูกพี่ลูกน้องของเธออายุยังไม่เท่าเธอด้วยซ้ำ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนโง่จริงๆ
เธอกัดฟันแล้วพูดออกมาเบาๆว่า “อย่างไรเสียพวกเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฉันก็แค่ถูกอารมณ์ชั่ววูบครอบงำ คุณต้องทำถึงขนาดนี้เหรอ?”
“เหอะๆ!” จิ่งหนิงโมโหจนหัวเราะออกมา
“ในเมื่อรู้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันคุณยังโผมาในอ้อมกอดของเขา? ต่อให้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ผิวหน้าของคุณหนายิ่งกว่าเปลือกไม้เสียอีก เรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจหรือไง?”
จิ่งหนิงพูดออกมาตรงๆ โดยไม่เว้นที่ว่างไว้ให้ใคร เซ่เซียงหลิงรู้สึกอับอายมาก
เธอกัดฟันแน่นคล้ายกับอยากจะพูดอะไรออกมาแต่จิ่งหนิงไม่อยากฟังอีกต่อไป เรียกป้าหลิวอีกครั้งว่า
“ส่งแขก!”
ป้าหลิวก้าวขึ้นมาด้านหน้าแล้วพูดเบาๆว่า “คุณเซ่เชิญเถอะค่ะ”
เซ่เซียงหลิงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ
ในขณะที่ป้าหลิวกำลังค้นคิดว่าจะเรียกคนใช้เข้ามาอีกสองคนพาตัวเธอออกไปดีหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงดัง “ตุ๊บ“เธอคุกเข่าลงไปที่พื้น
ทุกคนต่างตกตะลึงกับการกระทำอันกะทันหันของเธอ
จิ่งหนิงตกใจเสียจนลุกขึ้นยืน ส่วนลู่จิ่งเซินก็รีบเข้ามาประคองเธอไว้กลัวว่าเธอจะตกใจเสียจนลื่นล้ม สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมลงทันที
แม้ว่าเซ่เซียงหลิงจะทำผิดและจิตใจของเธอไม่บริสุทธิ์ แต่อย่างไรเสียทั้งสองคนก็นับว่าเป็นรุ่นเดียวกัน จะปล่อยให้เธอทําอย่างนี้ได้อย่างไร
จิ่งหนิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เธอรีบพูดขึ้นว่า “คุณต้องการอะไร?”
เซ่เซียงหลิงเงยหน้าขึ้นน้ำตานองสองข้าง สีหน้าของเธอราวกับกำลังพยายามคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้
“พี่สะใภ้คะฉันขอร้องเถอะ ช่วยฉันด้วย ฉันไม่มีทางไปแล้วจริงๆถ้าวันนี้ฉันออกไปจากที่นี่พรุ่งนี้ศพฉันคงจะลอยอยู่ในทะเล
พี่สะใภ้คะ ฉันยอมรับว่าเรื่องในวันนี้ฉันทำผิดไปจริงๆ ขอร้องให้คุณเห็นแก่ที่เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันช่วยฉันหน่อยได้ไหม?
หากว่าฉันยังพอมีทางออกอยู่บ้างฉันคงไม่คิดที่จะทำแบบนี้ และเดินทางมาแสดงความอัปยศอดสูของตัวเองให้คนอื่นดู
จิ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น
ต่อให้โง่ขนาดไหนเธอก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
เธอหันหน้าไปมองลู่จิ่งเซิน และพบว่าเขาเองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เธอจึงพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “ลุกขึ้นมาก่อนเถอะอย่าทำแบบนี้ คุณคุกเข่าอยู่แบบนี้จะให้ฉันฟังอะไรได้ ลุกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ดังนั้นคนใช้จึงเข้าไปพยุงเซ่เซียงหลิงขึ้นมา
จิ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้นอย่างอ่อนล้าแล้วพูดว่า “พูดมาสิ มีเรื่องอะไรกัน?”
เซ่เซียงหลิงจึงได้ร้องไห้และพูดว่า “ตอนแรกฉันไม่คิดอยากจะมารบกวนพวกคุณหรอก แต่ฉันไม่มีที่ไปจริงๆ นอกจากขอความช่วยเหลือจากพี่ชายแล้วฉันไม่มีวิธีอื่นจริงๆ”
จิ่งหนิงได้ยินดังนั้นยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันและมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา