บทที่ 471เหมือนมองสัตว์ประหลาด
“คุณพูดอยู่บ่อยๆ ว่าตัวเองสุดทางตัน ไหนลองว่ามาดูสิ ทำไมถึงสุดทางตัน?”
เซ่เซียงหลิงเช็ดน้ำตา แล้วพูดขึ้นต่อ “ทีแรกฉันเรียนหนังสืออยู่ในเมืองหลวงอยู่ดีๆ จู่ๆ พ่อของฉันก็โทรเรียกฉันกลับบ้าน หลังจากกลับบ้านถึงจะรู้ เขาให้ฉันทิ้งการเรียน แล้วกลับไปแต่งงาน”
“บ้านเกิดของพวกเรา สาวๆ บางคนก็แต่งงานกันเร็ว ดังนั้นตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดมาก เลยบอกพวกเราว่าตอนนี้ฉันยังไม่อยากแต่งงาน รอให้เรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนค่อยว่ากัน”
“แต่นึกไม่ถึงว่าวันที่สอง พ่อฉันพาผู้ชายคนหนึ่งกลับมา ผู้ชายคนนั้นใกล้จะสิบห้าแล้ว เป็นประธานของบริษัทมหาชน พ่อฉันบอกว่า บริษัทของพวกเราขาดทุนอย่างรุนแรง จึงติดเงินก้อนโตกับคนอื่น ถ้าฉันไม่แต่ง ทั้งครอบครัวของเราก็ต้องนอนข้างทาง ไม่มีอะไรจะกิน จนจะอดตายอยู่แล้ว”
“พี่ พี่สะใภ้ ฉันถูกบีบบังคับจนไม่รู้จักสรรหาวิธีอะไรแล้ว นี่เพิ่งจะแอบออกจากบ้าน ฉันไม่มีญาติที่เมืองหลวง นอกจากนายหญิงและพวกคุณ ฉันไม่รู้ว่าจะหาบุคคลที่สี่มาช่วยไม่ได้จริงๆ”
จิ่งหนิงมองเธอด้วยความเจ้าเล่ห์ ใต้ดวงตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เธอบอกว่าบริษัทของพวกคุณเสียหายอย่างรุนแรง พ่อเธอบังคับให้เธอแต่งงาน?”
“ใช่”
“นี่มันเกี่ยวอะไรกับเธอยั่วยวนลูกพี่ลูกน้องของเธอยังไง?”
เซ่เซียงหลิง “…….”
ใบหน้าของเธอค่อยๆ เปลี่ยนจากซีดเซียวเป็นแดงก่ำ แทบจะแดงจากใบหน้าไปถึงปลายหูจนถึงคอ สถานการณ์ตอนนั้นกระอักกระอ่วนใจอย่างมาก
จิ่งหนิงนั่งอยู่ตรงนั้น กลับทำท่าทางที่ดูชิว
แล้วกำลังเล่นนิ้วมืออันเรียวยาวและขาวผ่องของตน พร้อมพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ที่แท้เรื่องแบบนี้ที่เธอมาขอความช่วยเหลือจากพวกเรา ก็แค่เรื่องเล็กเท่านั้น ตามที่ฉันรู้ หลายปีมานี้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของตระกูลเซ่ต้องให้ตระกูลลู่คอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ นี่ก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว”
“พวกเราเห็นแก่การเป็นญาติ และเธอก็คือหลานสาวแท้ๆ ของแม่ แน่นอนว่าไม่ควรไม่สนใจไยดีอยู่แล้ว แต่วันนี้เธอแสดงละครตบนี้ กลับทำเกินไปจริงๆ ถ้าฉันช่วยเธออีก ฉันไม่ใช่จะถูกมองว่าเป็นคนที่น่ารังแกมากๆ หรอ ใครหน้าไหนก็สามารถรังแกฉันงั้นหรอ?”
เรือนร่างของเซ่เซียงหลิงสั่นเทาเล็กน้อย
จู่ๆ เธอก็คุกเข่าลงทันที แล้วโขกหัวอย่างแรง
” พี่สะใภ้เล็ก ฉันผิดไปแล้ว! ฉันผิดไปแล้ว! ฉันเองที่มีวางกลอุบาย! ฉันเองที่ไม่รู้จักอาย! ได้โปรดยกโทษให้ฉันเถอะ! ฉันผิดไปแล้ว!”
เธอร้องไห้จนสะอื้น จิ่งหนิงจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
เธอไม่ชอบทำตัวสูงส่ง ปกติถ้ามีคนที่ไม่ชอบ มากสุดก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็น
เอะอะอะไรก็คุกเข่าลงต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ นี่ฝึกจากที่ไหนแน่?
เธอพูดด้วยเสียงเรียบ “เลิกโขกได้แล้ว ให้คนอื่นเห็นเข้ายังนึกว่าพวกเราทำอะไรเธอสักอีก”
แต่เซ่เซียงหลิงกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงโขกหัวไม่หยุด ไม่นาน หน้าผากจึงบวมเป็นก้อนเล็กๆ
จิ่งหนิงกดหัวคิ้วลึกกว่าเดิม แล้วส่งสายตาให้กับคนใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง จึงมีคนรีบเดินเข้าไปพยุงเธอขึ้น
“คุณเซ่ เลิกโขกหัวได้แล้ว คุณผู้หญิงของพวกเรา ว่าไปแล้วก็คือรุ่นเดียวกันกับคุณ คุณทำแบบนี้ ถ้าคนนอกมาเห็นเข้า แล้วจะว่าคุณผู้หญิงของพวกเรายังไง? “
เซ่เซียงหลิงถึงจะลุกขึ้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้น หน้าผากที่สวยงาม ตอนนี้กลับบวมเป็นก้อนโตๆ ใบหน้าเปียกโชกด้วยน้ำตา ดูน่าสงสารมาก
“เมื่อกี้เธอบอกว่าบริษัทของพวกเธอเสียหายอย่างรุนแรงงั้นหรอ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? “
นัยน์ตาของเซ่เซียงหลิงเป็นประกาย แล้วพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “ฉัน…….เรื่องแก่นแท้ฉันก็ไม่รู้ บริษัทของทางตระกูลต่างก็มีพ่อและพี่ชายคอยดูแล”
จิ่งหนิงหันไปมองลู่จิ่งเซิน “คุณรู้ไหม? “
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว เขาอยู่ที่เมืองหลวง ส่วนตระกูลเซ่อยู่ที่เมืองหยุน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้เรื่องของเมืองหยุนมากนัก
ดังนั้นจึงส่ายหัว “ไม่รู้”
จิ่งหนิงพึมพำด้วยเสียงเรียบไปสักพัก แล้วเอ่ยถาม “เรื่องนี้เธอไม่ได้บอกนายหญิงใช่ไหม? “
เซ่เซียงหลิงจึงพูดอย่างเบาๆ “ฉันไม่กล้าบอกนายหญิง”
“ทำไม? “
ตั้งแต่ตอนแรก จิ่งหนิงก็รู้สึกแปลกๆ ตามหลักแล้ว แต่ก่อนไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเซ่ ก็ต้องไปหานายหญิงก่อนเป็นคนแรก”
หากแม้แต่นายหญิงยังไม่ช่วย แล้วมาหาเธอกับลู่จิ่งเซิน ไม่ใช่ว่ายิ่งเป็นไปไม่ได้หรอ?
นิ้วมือของเซ่เซียงหลิงคาบเกี่ยวกันตรงด้านหน้า ทำให้ผ้ากระโปรงตรงหน้าเอวรัดอย่างแน่น
ผ่านไปสักพัก ถึงจะกัดริมฝีปากพูด “พ่อฉันบอก เรื่องนี้หากให้นายหญิงรู้ เธอต้องเกลียดตระกูลพวกเรามากแน่นอน วันข้างหน้าจะไม่ช่วยตระกูลพวกเราอีก”
จิ่งหนิงเลิกคิ้วขึ้น แล้วยิ่งแปลกใจ
“ครอบครัวพวกเธอเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงมั่นใจขนาดนี้ว่านายหญิงจะไม่ช่วยพวกเธอ? “
เซ่เซียงหลิงเม้มปากแน่น แล้วไม่พูดไม่จา
จิ่งหนิงก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร นิ้วมือเกี่ยวราวจับโซฟาไว้ แล้วมองเธออย่างเงียบๆ
ผ่านไปสักพัก เพิ่งจะเห็นว่าเธอพูดด้วยความลำบากใจ “ฉันได้ยินมาว่า……เหมือนบริษัทจะมีสินค้าล็อตใหม่เข้ามา แล้วถูกยึดไว้ตรงศุลกากร”
จิ่งหนิงกระตุกตรงหว่างคิ้ว
ต่างก็รู้สึกไม่ปกติ
เธอจึงครุ่นคิดอย่างละเอียด จู่ๆ สีหน้าเปลี่ยนไป
“ในสินค้าโดนค้นของอะไรหรอ? “
สีหน้าของเซ่เซียงหลิงซีดขาวทันที แล้วอธิบายด้วยความกระวนกระวาย
“ไม่ใช่ พวกเราถูกคนอื่นใส่ร้าย ในของล็อตนั้น ต้องไม่ใช่พวกเราที่ใส่เข้าไป ต้องมีคนตั้งใจจะทำร้ายพวกเรา และตั้งใจใส่ของพวกนั้นเข้าไป”
“สินค้าถูกยึด บริษัทไม่มีวิธีส่งสินค้าตรงเวลา จึงขาดทุนอย่างแรง พ่อฉันยังต้องติดคุก เขาบอกว่าหากฉันไม่แต่งงานกับประธานเหยียน พวกเราทั้งตระกูลก็จะถูกทำลายกันหมด ทางตรงกันข้าม หากฉันตอบตกลง ประธานเหยียนท่านนั้นไม่เพียงแต่ช่วยพ่อฉันไม่ให้นั่งอยู่ในคุก แล้วยังสามารถให้เงินหนึ่งก้อนเพื่อทดแทนในส่วนที่บริษัทขาดไป”
“แต่ฉันเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าเท่านั้น! ฉันไม่อยากแต่งงานกับคนที่อายุเยอะกว่าพ่อฉัน พี่สะใภ้เล็ก ฉันขอร้องให้พี่สงสารฉันหน่อยเถอะ! ตอนนี้นอกจากพวกคุณ ฉันก็หาคนช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้แล้ว! “
จิ่งหนิงทำหน้าหม่นหมองลง แล้วพูดด้วยความเย็นชา “แต่ฉันคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการกระทำก่อนหน้านี้ของเธอ? หรือว่าเธอนึกว่าเธอสามารถปีนขึ้นเตียงของลูกพี่ลูกน้องเธอ เขาก็จะยอมช่วยเธองั้นหรอ? “
เซ่เซียงหลิงทำหน้าจับตัวเป็นก้อน ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
จิ่งหนิงมองเธอที่ก้มหน้าขมวดคิ้ว นัยน์ตายิ่งเลือดเย็นกว่าเดิม
แล้วจึงพูดด้วยเสียงเย็นชา “หรือเธอคิดว่าหากเธอกับเขามีอะไรกันแล้ว แล้วจะเอานี่มาขู่ สามารถให้เขารู้สึกหวาดกลัว ต่อให้ไม่อยากช่วยเธอก็ต้องช่วยงั้นหรอ? “
คำพูดนี้พูดออกมาปุ๊บ เซ่เซียงหลิงก็ตกใจจนขึงตาโตทันที
เธอมองจิ่งหนิงด้วยความหวาดกลัว เหมือนเห็นสัตว์ประหลาดอะไรที่น่ากลัว
จิ่งหนิงแสยะยิ้ม “ไม่ต้องรู้สึกแปลกใจหรอก ฉันเจอคนที่วางแผนการร้ายมากกว่าเธอเยอะ แค่วิธีกระจอกๆ แบบนี้ แค่ครุ่นคิดแปบเดียว ก็ไม่ยากที่จะเดาออกแล้ว”
เธอพูดด้วยเสียงเบา แล้วยกแก้วพลางดื่มชาหนึ่งคำ แล้วพูดต่อ “สินค้าของบริษัทพวกเธอถูกยึดไว้ตรงศุลกากร เรื่องมันถึงขั้นนี้แล้ว หากมีเรื่องอะไร นายหญิงต้องช่วยเธอ แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องกฎระเบียบของประเทศชาติ ภายในใจของเธอรู้ดี ที่ผ่านมาตระกูลลู่ที่ทำงานอย่างสุจริตและบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีทางยื่นมือช่วยเหลืออยู่แล้ว”