บทที่ 486 เป็นเด็กผู้ชาย
ป้าหลิวก็พูดว่า “คุณตา คุณตาใจเย็นๆก่อน โชคดีแล้วที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า คุณชาย ของล่ะ? เอาของมาด้วยหรือเปล่าคะ?”
ลู่จิ่งเซินตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ “ตอนออกมารีบเกินไป ไม่ทันได้สนใจ ตอนนี้ให้คนกลับไปเอาให้แล้วครับ”
“งั้นก็โอเค ทุกคนก็อย่ากังวลกันเกินไป คุณผู้หญิงแข็งแกร่งขนาดนั้น สามารถผ่านไปด้วยแน่นอน ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่เธอก็เดินไปเดินมาอยู่ที่ระเบียงทางเดินตลอด แค่ดู คนที่กังวลที่สุดก็คือเธอ
ลู่จิ่งเซินนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวยาว กุมศีรษะ ครั้งแรกในชีวิตที่ตื่นเต้นจนปลายนิ้วตึงแน่นไปหมด
เขาทนไม่ไหวกับการโยกไปโยกมาของป้าหลิว พูดว่า “ป้าหลิวครับ ป้าเลิกโยกไปมาได้ไหมครับ?”
ป้าหลิวมองมาที่เขา ไม่กล้าโยกไหวอีก ดังนั้นทำได้เพียงนั่งลง
ผ่านไปสักพัก จู่ๆก็เห็นลู่จิ่งเซินลุกขึ้น เดินไปทางหนึ่ง
ป้าหลิวชะงักไป จิตสำนึกอยากจะอ้าปากเรียกเขาไว้ แต่ถูกคุณยายห้ามไว้ก่อน
“ให้เขาไปพักสักหน่อยเถอะ ดูแล้วตอนนี้คนที่ตื่นเต้นที่สุดก็คงจะเป็นเขา อยู่คนเดียวสักพักเขาจะได้ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น”
ป้าหลิวถึงไม่พูดอะไร
ลู่จิ่งเซินเดินไปถึงตรงที่ที่ค่อนข้างจะเปลี่ยว แต่ก็ไม่ห่างจากห้องคลอดมากนัก มองไปก็สามารถเห็นได้ แต่ก็ห่างจากผู้คนทั้งหลาย
เขาหยิบซองบุหรี่ซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ถ้าหากว่ามองใกล้ๆ จะเห็นว่าปลายนิ้วยังสั่นอยู่เล็กน้อย
เขาถือไฟแช็ก ก้มมอง และจุดไฟอยู่สองสามครั้ง
ใช้แรงสูบเข้าไป และพ่นควันออกมา ควันสีอ่อนลอยขึ้นไปในอากาศ ดวงตาที่เฉียบคมเป็นสีแดงเล็กน้อย
ในตอนนี้ ซูมู่ก็ถือของเข้ามา
มองเห็นเขาพิงอยู่ที่มุมกำแพงสูบบุหรี่ ส่งเสียงเรียกออกไปอย่างแปลกใจ
“ท่านประธาน!”
ลู่จิงเซินมีใบหน้าที่ไม่แสดงออกอะไร รับของมา
หลังจากนั้นก็สูบบุหรี่อีกครั้ง ถึงดับบุหรี่และทิ้งลงไปในถังขยะ ถือของเดินไปทางห้องคลอดอย่างแข็งแรงและดูห้าวหาญ
ซูมู่เห็นเบื้องหลังของเขาดูไม่เกรงกลัวต่อความตาย ก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันที
ท่านประธาน นี่ท่านคลอดลูก หรืออยู่มาที่สนามรบกันแน่?
สำหรับซูมู่แล้ว มีความแตกต่างระหว่างการคลอดลูกและการไปสนามรบ
แต่สำหรับจิ่งหนิงแล้ว จริงๆแล้วทั้งสองอย่างเหมือนกันเลย
การผ่าตัดดำเนินการไปอย่างราบรื่น ขั้นตอนก็รวดเร็วมาก
ศัลยแพทย์ก็ล้วนเป็นหมอที่มีประสบการณ์มามากมาย เป็นลู่จิ่งเซินที่โยกย้ายมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะ ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ก็มาอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว
ราชินีสมัยโบราณเวลาคลอดลูก สวัสดิการก็เป็นแบบนี้
เสียงร้องใสๆของเด็กทารกดังขึ้น คนที่รออยู่ข้างนอกตื่นตระหนกขึ้นในทันที จากนั้นทุกคนก็มีสีหน้าปิติยินดีเกิดขึ้น
“คลอดแล้วคลอดแล้ว!”
ลู่จิ่งเซินเองก็ชะงักไปแล้ว
ประตูห้องคลอดยังไม่เปิด แต่ทั้งตัวของเขาก็นิ่งไม่ไหวติง ฟังเสียงร้องดังกังวานนั้น ราวกับกลายเป็นหิน
คุณย่าดีใจจนน้ำตาไหล ผลักเขา
“ตะลึงอยู่ทำไม? นั่นลูกของนาย! รีบไปดูเร็วๆ”
เขาถึงมีปฏิกิริยากลับมา ทั้งร่างโดนคลื่นขนาดใหญ่กระแทกเข้าอย่างรุนแรงจนไม่ว่าจะทำอะไรก็ช้ากว่าปกติไปหมด
ไม่นานหมอก็อุ้มเด็กออกมา
“ยินดีกับพวกคุณด้วยครับ เป็นเด็กผู้ชายครับ”
“เด็กผู้ชายดี ภายหลังจะต้องมีอนาคตสดใสเหมือนอาเซินแน่นอน”
ทุกคนเข้าไปล้อมเหมือนฝูงผึ้ง คุณย่าเป็นคนแรกที่รับเด็กมา มองรูปร่างนุ่มๆในผ้าอ้อมที่แม้แต่ดวงตายังไม่ลืมขึ้น ดีใจจนเกือบจะน้ำตาไหลออกมา
กลับไม่ค่อยเห็นความดีใจบนใบหน้าของลู่จิ่งเซินมานัก
ไม่มองแม้กระทั่งเด็ก แค่ลากหมอมาถามว่า “ภรรยาผมหล่ะครับ?”
หมอยิ้มเล็กน้อย “เธอยังต้องรออีกสักครู่ครับ ต้องทำความสะอาด เดี๋ยวก็ออกมาได้แล้วครับ”
“ตอนนี้ผมเข้าไปดูเธอได้ไหม?”
“รอสักครู่เถอะครับ อย่าเอาเชื้อโรคเข้าไปเลย”
พูดจบ หมอก็ปิดประตู
ลู่จิ่งเซินจึงทำได้เพียงยืนรออยู่ข้างนอก ร้อนใจเหมือนถูกเผา
แต่เดิมทีการทำความสะอาดมดลูกเร็วอยู่แล้ว ไม่นาน จิ่งหนิงก็ถูกเข็นออกมา
ฉีดยาชาไป ตอนนี้เธอยังไม่ได้สติ บนใบหน้าใส่เครื่องช่วยหายใจไว้ สีหน้าค่อนข้างซีด
ใจของลู่จิ่งเซินก็เป็นห่วงขึ้นมาในทันที รีบพุ่งไปคว้ามือเธอเอาไว้ เรียกเบาๆ
“หนิงหนิง”
คนบนเตียงคนไข้กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้
หมอพูดอย่างยิ้มว่า “เธอไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเร็วขนาดนั้น ส่งเธอไปที่ห้องผู้ป่วยก่อนเถอะครับ! จำไว้ว่าระวังอย่าให้โดนลมพัด”
ผู้คนที่เหมือนฝูงผึ้งจึงพาไปส่งที่ห้องผู้ป่วย
จิ่งหนิงฟื้นขึ้นมาตอนห้าโมงเย็น
ในตอนที่เธอฟื้นขึ้นมา พระอาทิตย์ด้านนอกกำลังค่อยๆตกแล้ว มีแสงอาทิตย์ตกสีทองปรากฏออกมา
หน้าของห้องปิดอย่างมิดชิด แต่ผ้าม่านไม่ได้ปิดหมด เหลือไว้ครึ่งหนึ่ง ทำให้ทั้งห้องมีกลิ่นอายหอมเย็นอบอุ่น
เธอสับสนอยู่สักพัก ถึงคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ก็ตกใจขึ้นมาทันที
“ลูก!”
วินาทีต่อมา มือก็ถูกจับไว้
หันหน้าไป ก็พบกับสายตาที่ลึกซึ้งและแฝงด้วยสีแดงคู่หนึ่ง
“ลู่จิ่งเซิน?” จิ่งหนิงขยับริมฝีปาก น้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย “ลูกหล่ะ?”
ชายหนุ่มลากเปลเด็กที่วางอยู่ข้างๆมา
“ลูกอยู่นี่ ไม่ต้องกลัว”
เสียงของเขาเบามาก น้ำเสียงอ่อนโยน จิ่งหนิงมองก้อนนุ่มนิ่มอ่อนโยน ที่นอนอยู่ในเปลเด็กสีขาว ชั่วพริบตาเดียวก็ตาแดง
ลู่จิ่งเซินรีบเช็ดน้ำตาให้เธอทันที
“อย่าร้อง พึ่งคลอดลูกเสร็จร้องไห้ไม่ดีต่อร่างกาย”
จิ่งหนิงสะอื้นพูด “ให้ฉันอุ้มเขาหน่อย”
“โอเค คุณหยุดร้องก่อน แล้วผมจะให้อุ้ม”
จิ่งหนิงรีบเช็ดน้ำตาทันที ลู่จิ่งเซินลุกขึ้น อุ้มลูกขึ้นมาจากเปลเด็กด้วยท่าทีแข็งทื่อ
จิ่งหนิงเห็นท่าทีของเขา หัวใจก็ขึ้นมาอยู่ที่คอ ยืดแขนไปรับมาอย่างไม่ง่ายนัก จากนั้นก็กอดราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าทันที
ลู่จิ่งเซิน “……”
จู่ก็มีความรู้สึกไม่ค่อยโปรดปรานเกิดอะไรขึ้น?
ลูกยังนอนหลับอยู่ อาจจะรู้สึกปลอดภัย แม้ว่าจะถูกคนอุ้มไปมาแบบนี้ ก็ไม่แม้แต่จะมีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา
ใบหน้าเล็กๆนั้นย่นเป็นกลมๆ หลับตา ขนตาทั้งยาวทั้งชิดติดกัน เหมือนกับพัดอันเล็กๆสองอัน
ปากเล็กๆที่ขาวและนุ่มเม้มอยู่แน่น แค่มองก็ดูเคร่งขรึม
ผิวยังเป็นสีแดงๆอยู่ สีอ่อนนุ่มจนเหมือนจะโปร่งแสง และยังสามารถมองเห็นเส้นเลือดที่เล็กและบางอยู่ใต้ผิวหนัง
เดิมทีจิ่งหนิงก็ดูดีอกดีใจ แต่ดูไปดูมา คิ้วก็ขมวด
ลู่จิ่งเซินสนใจสีหน้าของเธออยู่ตลอด เห็นเธอขมวดคิ้ว รีบถามอย่างเป็นกังวลทันที “ทำไมหรอ?”
“ลู่จิ่งเซิน ตอนที่ลูกออกมา คุณอยู่กับเขาตลอดหรือเปล่า?”
ลู่จิ่งเซินงงเล็กน้อย ตอบกลับไปว่า “เปล่า แต่ว่าคุณยายส่งคนตามไป”
คิ้วของจิ่งหนิงขมวดมากยิ่งขึ้น
ลู่จิ่งเซินไม่แน่ใจว่าในใจของเธอกำลังคิดอะไร เพียงแค่ระมัดระวังไม่พูดอะไร
จู่ๆจิ่งหนิงก็พูดออกมาว่า “คุณว่า ลูกของเราอุ้มผิดมารึเปล่า? ทำไมฉันรู้สึกว่าลูกหน้าตาน่าเกียจจัง ไม่เหมือนเป็นลูกของเราสองคนแม้แต่น้อย”
ลู่จิ่งเซิน “……”
เหอะๆ!
ครั้งแรกที่เห็นแม่แท้ๆบอกว่าลูกตัวเองน่าเกลียด
เขาอธิบายอย่างอดทน “เด็กที่เพิ่งเกิดก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ยังไม่โต รอให้โตหน่อยเดี๋ยวก็น่ารัก”