บทที่ 492 เธอเหมาะสมตรงไหน
เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการยั่วโมโห
ฉู่ยี่มีสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมาทันที : “เฟิงยี่ คุณหมายความว่ายังไงหรอ?”
เฟิงยี่ยักไหล่เล็กน้อย : “ความหมายก็คืออย่างที่นายได้ยินนั่นแหละ”
ถังลั่วเหยาสัมผัสได้ถึงรัศมีอาฆาตของทั้งสองคนอย่างอ่อนไหว เลยแอบตำหนิในใจเงียบๆ
เฟิงยี่ทำคิดทำอะไรอยู่หรอ?
เธอไม่คิดมาก รีบเดินเข้ามาขัดจังหวะพวกเขาสองคน โดยการยิ้มและพูดว่า : “คุณชายรองเฟิง คุณนี่ช่างหยอกเล่นเก่งจังเลยนะคะ ฉันกับฉู่ยี่กำหนดหมั้นหมายกันแล้ว แล้วจะเป็นอย่างที่คุณพูดแบบนั้นได้ยังไง ฉู่ยี่เองก็เหมือนกัน คุณชายรองเองแค่พูดหยอกเล่นกับคุณเอง คิดไม่ถึงว่าคุณจะคิดจริงจัง”
พูดแบบนี้เข้าข้างใครแยกออกได้ทันที
ฉู่ยี่มีสีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น
เขาอมยิ้มและลูบหัวของถังลั่วเหยา : “ลั่วเหยาพูดถูก ผมจริงจังเกินไปเอง คุณชายรองเฟิง งั้นผมต้องขอโทษคุณตรงนี้ด้วยนะครับ”
เฟิงยี่เริ่มมีสีหน้ามืดครึ้มกระจายเต็มใบหน้า เหมือนกับท้องฟ้าที่มีพายุฝนมาเยือน
“ถัง!ลั่ว!เหยา!” เขาแค่นเสียงออกมาจากซอกฟัน โดยที่กำลังอดกลั้นความโมโหเดือดดาลภายในใจ จนเกือบจะทำให้เขาบ้าคลั่ง
ถังลั่วเหยานิ่งเงียบ อันที่จริงเธอก็รู้สึกกลัวเขาเล็กน้อย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขามาทะเลาะกัน
“ประธานเฟิง พวกเราสองคนไม่ค่อยสนิทกันเลย” ถังลั่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเปลี่ยนคำเรียกขานด้วย
ตอนที่เธอไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกขานยังถือว่าปกติ แต่เมื่อเปลี่ยนก็ยิ่งกระตุ้นความโมโหของเฟิงยี่แทบระเบิด
“ฮ่า ไม่สนิทหรอ? เธอแน่ใจหรอ? วันนั้น…..”
เฟิงยี่หยุดนิ่ง
เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองขาดสติจะเป็นบ้าแล้ว
ใช่ เขาเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม? ไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงต้องพูดเรื่องนั้นในเวลานี้ด้วย เพราะเรื่องนั้นเธอสั่งห้ามไม่ให้บอกใคร
เป็นอย่างที่เขาคาดคิด ถังลั่วเหยาเปลี่ยนสีหน้าทันที และยังมีน้ำเสียงแหลมคมด้วย
“ฉันไม่รู้ว่าประธานเฟิงกำลังพูดอะไรอยู่ ถ้าหากประธานเฟิงเหม็นชี้หน้าฉัน คุณก็พูดมาตามตรงเลยค่ะ ต่อไปพวกเราต่างคนต่างอยู่ ไม่จำเป็นต้องแสร้งยิ้มต่อกันอีก”
ความหมายของคำพูดคือกำลังเตือนเขาอยู่ ถ้าหากเขากล้าพูดอีก เธอก็จะตัดขาดกับเขา
แต่นี้จะเพียงพอหรอ
อย่างน้อยที่สุด นี่เป็นการพิสูจน์ให้รู้ว่าระหว่างพวกเขาสองคนมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งยังพิสูจน์ให้รู้ว่าที่เธอบอกว่าไม่สนิทกัน เป็นเรื่องโกหก
เฟิงยี่รู้สึกเจ็บปวดใจ ถังลั่วเหยา เขาถูกยาพิษของเธอแล้วหรอ? ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก
แต่น่าเสียดายไม่มีใครสามารถตอบเขาได้
รวมถึงถังลั่วเหยาด้วย
หลังจากรีบปรับอารมณ์ให้กลับมาปกติ เฟิงยี่ก็เงยหน้าด้วยสีหน้าซึมเศร้าขึ้น แล้วยิ้มอย่างโศกเศร้า : “คุณถังก็รู้ว่าผมแค่พูดหยอกเล่น ทำไมคุณถึงต้องโมโหขนาดนี้?”
ถังลั่วเหยาถอนหายใจ
นับว่าเขายังพอมีสติอยู่บ้าง
ขอเพียงเขาไม่หักหน้าเธออย่างจงใจ เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นความคาดหวังอยู่
ถังลั่วเหยาเงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน : “เป็นเพราะฉันวู่วามเอง ต้องขอโทษคุณชายรองเฟิงด้วยนะคะ”
จากนั้นก็เตรียมจูงมือฉู่ยี่เดินเข้าไปในงาน
เฟิงยี่อดกลั้นความอัดอั้นตันใจไว้ภายในหัวใจ พร้อมจ้องมองร่างเงาของถังลั่วเหยาจากไป
ลั่วเหยา เหยาเหยา…….
เขาแอบเรียกเธอในใจเงียบไป
ทันใดนั้นรูปร่างอันอ่อนช้อยหนึ่งก็โอบกอดเขาจากข้างหลัง : “ยี่ คุณกำลังดูอะไรอยู่หรอ?”
เฟิงยี่หันหน้าหนีด้วยสายตาที่ยังคงมีความรู้สึกโศกเศร้าค้างคาอยู่
จากนั้นก็หันหน้ากลับมา : “เจียเจีย คุณมาแล้วหรอ?”
ส้งเจียเจียยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย : “จริงสิ ไม่รู้ว่าหัวข้อของปาร์ตี้ปีหน้าคืออะไร”
เธอที่เข้าวงการตั้งแต่เด็ก นับว่าเป็นคนรุ่นหลังในวงการที่เก่าแก่
ในตอนนี้เธอแอบเหลือบมองไปทางที่เฟิงยี่กำลังมองอย่างแนบเนียน พร้อมแอบรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย
ถังลั่วเหยาหรอ? ยี่จ้องมองเธอทำไมหรอ? หรือว่าผู้หญิงที่อยู่ในใจของเขาคือเธอหรอ?
เป็นไปได้ยังไง! เธอเหมาะสมตรงไหน!
ในฐานะเป็นแฟนที่มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาแฟนสาวของเฟิงยี่ในอดีต ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าในใจของเขาแอบซ่อนผู้หญิงคนหนึ่งอยู่
หากยึดตามที่เฟิงยี่เคยพูด คนๆนั้นเป็นรักแรกของเขา และเป็นคนที่เขาปรารถนาแต่ไม่เคยครอบครอง
ส้งเจียเจียยอมทุ่มเทเสียเวลา เพราะอยากรู้ฐานะของผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง
แต่เมื่อคิดในตอนนี้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเฟิงยี่จ้องมองผู้หญิงคนหนึ่งด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์แบบนี้
ส่วนถังลั่วเหยา
เมื่อส้งเจียเจียนึกถึงเบื้องหลังของเธอก็อดยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันไม่ได้
เพราะคนอย่างถังลั่วเหยาหรอ เป็นรักแรกของเฟิงนี่? และเป็นคนครอบครองหัวใจของเขา?
ล้อกันเล่นแน่ๆ!
เฟิงยี่เป็นถึงคุณชายที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ เพื่อครอบครองที่นั่งข้างกายเขา ไม่รู้ว่าเธอทุ่มเทเวลาและความพยายามไปมากแค่ไหน
แต่ถังลั่วเหยาคนธรรมดา จะเอาอะไรไปเอาชนะหัวใจของเฟิงยี่ได้!
เอาอะไรไปสู้หรอ!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ส้งเจียเจียก็ละทิ้งความไม่สบายในใจไป
ความประทับใจแรกพบต่อถังลั่วเหยานับว่าต่ำต้อยมาก
ในเมื่อเธอไม่เจียมเนื้อเจียมตัวคิดอยากแย่งของที่เป็นของเธอ เช่นนั้นเธอคงต้องสั่งสอนเธอให้รู้จักที่ต่ำที่สูงแล้วละ
หลังจากถังลั่วเหยาเข้าในงานปาร์ตี้ ฉู่ยี่ก็พาเธอไปแนะนำต่อผู้ใหญ่ในวงการธุรกิจจำนวนไม่น้อยเลย
คนที่เข้าร่วมงานปาร์ตี้เป็นบุคคลระดับสูง ถึงแม้ผู้ใหญ่จะรู้สึกตกใจกับฐานะของเธอ แต่ก็แค่ยิ้มชมเชยเล็กน้อย แต่ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก
ไม่นานถังลั่วเหยาก็รู้จักบุคคลชั้นสูงมากขึ้น
เนื่องจากเธอมีฐานะที่ไม่เลว และมีฉู่ยี่คอยออกหน้ารับ และรางวัลที่เธอได้รับก่อนหน้านี้ ผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงจำนวนไม่น้อยจึงแสดงเจตนาอยากลองลงทุนกับเธอ
ตอนที่พักเบรก ถังลั่วเหยาถือแก้วไวน์แก้วหนึ่งอยู่ ขณะเดียวกันก็จิบไวน์อย่างเงียบซึม
สมกับเป็นงานเลี้ยงของวงการธุรกิจ หากเปรียบเทียบกับงานปาร์ตี้ที่เคยเข้าร่วมมาก่อนหน้านี้แล้ว นี่นับว่าเป็นปาร์ตี้ระดับสูง และคิดว่าคงมีหลายคนคิดว่าเธอคงเอาตัวเข้าแลกแน่ๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ถังลั่วเหยาก็เผยสายตารำคาญใจขึ้น
สำหรับเรื่องของอิทธิพล อันที่จริงนับว่าเธออ่อนด้อยมาก ด้วยเหตุนี้ห้ามมีปัญหากับผู้ใหญ่ ไม่เช่นนั้นจะสูญเสียคนสนับสนุน
ตอนนี้ต้องทำลายบรรยากาศอันน่าอัดอั้นแล้วใช่ไหม….
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ถังลั่วเหยาก็ถอนหายใจยาวๆ และพยายามละทิ้งความรู้สึกเหนื่อยล้าในใจ
อันที่จริงการพัฒนาของเธอช่วงนี้เริ่มไม่มีประสิทธิภาพแล้ว
เธอพัฒนามาถึงคอขวดแล้ว แต่เพราะไม่อยากเจอผู้สนับสนุนที่น่ารังเกียจ ดังนั้นไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ เธอจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อย
แต่ตอนนี้เมื่อนึกถึงอนาคตในวันข้างหน้ามีงานคุณภาพดีจำนวนมาก ถังลั่วเหยาก็รู้สึกดีใจขึ้น
หลังจากที่ฉู่ยี่กลับจากพูดคุยเรื่องธุรกิจ แล้วเห็นสีหน้าเบิกบานใจของถังลั่วเหยา เขาก็เดินยิ้มมาข้างเธอ และพูดว่า : “ทำไมหรอ แก้ปัญหาแล้วหรอ?”
ถังลั่วเหยาพยักหน้าเล็กน้อย : “ใช่ ลำบากคุณเลยค่ะ”
รอยยิ้มของเธอช่างน่ารัก และน่าทะนุถนอมมาก
“ถ้าหากไม่ได้อยู่ในงานปาร์ตี้ คงไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆแน่”
เขากระซิบข้างหูของถังลั่วเหยาขึ้น
ถังลั่วเหยาใบหูแดงก่ำ พร้อมผลักเขาออกด้วยสีหน้าเขินอาย : “หยุดเล่นได้แล้ว”
เมื่อปล่อยตัวให้เธอผลักออกไป จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาอีกครั้ง : “ตอนนี้ผมเฝ้ารอคอยค่ำคืนในวันแต่งงานของพวกเราไม่ไหวแล้ว เมื่อนึกถึงตอนที่นอนทับบนตัวคุณอย่างบ้าคลั่ง ผมก็อดใจรู้สึกตื่นเต้นไม่ไหว”