บทที่502ไร้ซึ่งวาสนา
ดังนั้นเมื่อตอนที่เฟิงยี่มองเห็นซูหง เขาจึงเกิดความคิดให้เธอพาตนขึ้นไปในห้องของถังลั่วเหยา
ตอนที่เฟิงยี่บอกความคิดนี้กับซูหง เธอก็ปฏิเสธโดยไม่ครุ่นคิด
ไม่ว่าเฟิงยี่จะพูดอย่างไรหรือจะบีบบังคับเธอ หลอกล่อเธออย่างไร ซูหงก็ยังคงใส่หน้าปฏิเสธไม่ยอมทรยศหักหลังถังลั่วเหยา
ท้ายที่สุดเฟิงยี่โมโหและเลือกที่จะหยิบยกคนในครอบครัวของเธอมาข่มขู่
และเป็นไปตามที่ถังลั่วเหยาคิดเอาไว้ หากว่าซูหงกล้าปฏิเสธ เฟิงยี่เขาก็อาจทำเรื่องเหล่านั้นได้จริงๆ
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ
ซูหงไม่ได้ตั้งใจที่จะบอกเรื่องเหล่านี้เพื่อเอาผลงานกับถังลั่วเหยา และถังลั่วเหยาเองก็ไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม
เธอเพียงต้องการรู้ผลเท่านั้น
ส่วนเรื่องอื่นๆล้วนไม่สำคัญ
เมื่อคิดได้ดังนั้น หน้าตาอันตึงเครียดของถังลั่วเหยาก็ผ่อนคลายลง
ผลที่ตามมานี้ทำให้ถังลั่วเหยาเริ่มรู้สึกมึนเวียนหัว
เธออยากจะมุดลงไปในผ้าห่มและหลับตาท่ามกลางความมืด
เมื่อซูหงมองเห็นว่าถังลั่วเหยาเริ่มเหนื่อยล้าแล้วก็รู้ว่าเธอควรพักผ่อนเสียที
ก็จริงอยู่ เนื่องจากผู้ป่วยที่กำลังป่วยหนักประกอบกับที่ต้องเจอเรื่องทำลายสภาพจิตใจและร้องไห้นานขนาดนี้จะไม่ให้เหนื่อยได้อย่างไร
ดังนั้นซูหงจึงรีบพูดขึ้นว่า “รีบพักผ่อนเถอะ ฉันไปก่อนนะคะ”
เมื่อพูดจบเธอก็ประคองถังลั่วเหยาให้นอนลง
ถังลั่วเหยาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เธอเลือกที่จะเอนตัวลงบนเตียงตามแรงมือของซูหง
เมื่อซูหงห่มผ้าให้แก่ถังลั่วเหยาเรียบร้อยแล้วเธอก็ลืมตามองอยู่สักพักก่อนจะหลับตาเข้าสู่ความฝัน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรครั้งนี้ถังลั่วเหยาหลับฝันไป
เธอฝันว่าเธอเห็นเฟิงยี่
ในฝันนั้นเธออายุเพียงแค่ 10 ขวบ และเฟิงยี่ที่อยู่ข้างกายเธอก็อายุเท่ากันในตอนนั้น
พวกเขากำลังเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน ทั้งหัวเราะและวิ่งไล่จับกันบนสนามหญ้า อีกทั้งมองดูดาวบนท้องฟ้า
ซึ่งท้องฟ้าเมื่อ 10 ปีก่อนช่างสะอาดสะอ้านเสียจริงๆ มันใสเสียจนมองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า
ถังลั่วเหยายิ้มและมองไปยังคู่รักวัยเด็กของเธอด้วยดวงตาอันอบอุ่น
แต่ว่าเด็กชายค่อยๆเลือนหายไปจากข้างกายเด็กสาว
และเด็กสาวคนนั้นก็ค่อยๆเติบโตขึ้น
รอบกายของเธอมีคนประเภทต่างๆปรากฏขึ้นมากมาย
ก่อนอื่นคือพ่อบุญธรรมของเธอ จากนั้นเธอก็พบกับพวกสนับสนุน ต่อจากนั้นก็ฉู่ยี่ และท้ายที่สุดเฟิงยี่ก็ปรากฏตัวเสียที
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ราวกับว่า ถังลั่วเหยาได้ออกมาจากกรมทหารนั้น 10 กว่าปีแล้ว
แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรและไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังจับตามองเธออยู่ตลอดเวลา
คนคนนั้นไม่สามารถบอกได้ถึงลักษณะเฉพาะตัว และก็ไม่มีเสียงที่ปรากฏชัดเจน
ทุกอย่างช่างคลุมเครือ ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มีกันแน่
แต่สิ่งที่เธอรู้ก็คือคนคนนั้นมองดูเธออยู่ เฝ้ามองเธอเติบโตขึ้น
ถังลั่วเหยารู้สึกประหลาดใจมาก แต่เธอก็ไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรดี
เนื่องจากในความฝันของเธอนั้น ต่อให้เธอต้องการมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างอิสระก็ไม่สามารถทำได้
เธอจึงจำเป็นต้องเดินไปตามความฝัน
และช่วงนี้ แม้ว่าเฟิงยี่จะปรากฏตัวขึ้นแต่ก็มักจะคลาดเคลื่อนกับเธออยู่ตลอดเวลา
ถังลั่วเหยาสังเกตเห็นเขาและเขาก็สังเกตถึงเธอ
แต่ในฝันของถังลั่วเหยามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า
เฟิงยี่กำลังมองเธออยู่ แต่ว่าเธอนั้นหากไม่ใช่ในความฝันก็ไม่อ่านหาเขาได้พบ
ความรู้สึกนี้ช่างน่าประหลาดใจแต่ถังลั่วเหยาก็ยังไม่รู้ตัว
ต่อมาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เฟิงยี่ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธออย่างจริงจัง
เขามักจะโบกไม้โบกมือให้เธอในฝัน และมักจะหาเหตุผลต่างๆนานาที่จะพบเธอโดยบังเอิญ
เรื่องนี้ถังลั่วเหยารู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่รู้ว่าจะไประบายที่ไหน
หลังจากนั้นเฟิงยี่ก็มีเรื่องกับฉู่ยี่
พวกเขาทะเลาะกันอย่างดุเดือด ถึงขนาดที่ถังลั่วเหยารู้สึกกลัว
“พอได้แล้ว!” เธอวิ่งเข้าไปอยู่ต่อหน้าทั้งสองคนและพยายามจะขัดขวางพวกเขา “ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว!”
ถังลั่วเหยาพยายามโบกไม้โบกมืออย่างสุดความสามารถเพื่อหวังว่าจะให้พวกเขามองเห็นตน
แต่เธอก็ทำมันไม่สำเร็จ
ทั้งสองคนยังคงทะเลาะกันอยู่ตามเดิม ราวกับว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเธอและเธอก็ไม่อาจสัมผัสพวกเขาได้
ถังลั่วเหยาเริ่มตื่นตระหนก
เธอเริ่มรู้สึกกลัวและกำลังสับสน
แต่เธอยังคงยืนอยู่ข้างกายทั้งสองคน เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะตื่นจากความฝัน
ใช่แล้ว!ในที่สุดเธอก็รู้ตัวว่าเธอกำลังฝันอยู่
ทันใดนั้นเอง เฟิงยี่ก็หยุดการกระทำลง
ในขณะเดียวกันฉู่ยี่ก็สูญหายไป
เฟิงยี่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ดึงเธอเข้าไปไว้ในอ้อมกอดด้วยความอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะครับผมอยู่ที่นี่”
ถังลั่วเหยาร้องไห้น้ำตานองหน้า “เฟิงยี่ ฉันกลัวมาก……”
เฟิงยี่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาทำเพียงโอบเธอไว้ในอ้อมแขน
ทันใดนั้นเฟิงยี่ก็ขมวดคิ้วขึ้น ปล่อยมือเธอและเอามือกำที่หน้าอกจากนั้นคุกเข่าลง
ถังลั่วเหยารีบพยุงเขาขึ้นมาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “เฟิงยี่……”
สีหน้าของเฟิงยี่แย่ขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดร่างกายเขาก็ค่อยๆจางหาย
ถังลั่วเหยาร้องไห้ออกมาเสียงดัง “เฟิงยี่ คุณอย่าไปนะคะอย่าไป”
แต่ว่าเฟิงยี่กลับหายไปเสียแล้ว
“เฟิงยี่!” ในที่สุดถังลั่วเหยาก็ไม่อาจทนต่อไปได้ เธอตื่นขึ้นมาท่ามกลางความตกใจ
แต่กลับพบว่าฉู่ยี่นั่งอยู่ข้างๆเธอ และรีบคว้ามือเธอเข้ามากุมเอาไว้ “ลั่วเหยา ผมอยู่นี่ผมอยู่นี่นะครับ”
ถังลั่วเหยาตกตะลึง
จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของฉู่ยี่แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังสนั่น
ถังลั่วเหยาร้องไห้อยู่สักพักจนในที่สุดเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้
ดวงตาของเธอไม่ได้สับสนอีกต่อไปแต่กลับชัดเจนแจ่มแจ้ง
ท้ายที่สุดแล้วถังลั่วเหยาก็มองดูผู้ชายตรงหน้าอยู่เงียบๆและผลักเขาออก เช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วพูดว่า “อ้อ เป็นคุณเองเหรอคะ”
หัวใจของฉู่ยี่เจ็บแปลบ
เนื่องจากเขารู้ดีว่าทำไมจู่ๆถังลั่วเหยาถึงได้ทำตัวเยือกเย็นเฉยเมย
เดิมทีพวกเขาทั้งสองคนก็มีความสัมพันธ์กันแค่สัญญาไม่ใช่หรือไง
นับตั้งแต่แรก เธอก็บอกกับเขาว่าเธอไม่ได้รักเขา เธอเพียงแค่ต้องการทรัพยากรของเขา
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมีเพียงความร่วมมือที่ดีต่อกัน หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก้าวเข้ามาก็จะเป็นการทำร้ายตัวเอง
แต่ว่าเขาก็อดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้ถังลั่วเหยา
ที่จริงแล้วฉู่ยี่รู้สึกปวดใจมาก
ความเจ็บปวดในใจของเขาชัดเจนขึ้นมากเรื่อยๆ เขาอยากจะฉีกหัวใจออกมาเป็นเสี่ยงๆ
แต่เขาก็ไม่อาจแสดงความรักที่มีต่อถังลั่วเหยาได้เลย
เพราะเขารู้ดีว่าหากเขาทำแบบนั้น ถังลั่วเหยาก็จะเดินจากเขาไปอย่างไม่ต้องสงสัย
และฉู่ยี่ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นฉู่ยี่จึงพยายามทำตัวให้สงบนิ่งและมองดูถังลั่วเหยา พยายามปฏิบัติต่อท่าทางอันเยือกเย็นของเธอว่าไม่มีอะไร
“นี่เป็นสไตล์ของคุณจริงๆ” ฉู่ยี่ยิ้มแล้วส่ายหัว
ถังลั่วเหยามองดูแล้วพูดออกมาเบาๆว่า “คุณก็รู้นี่คะว่าพวกเราคุยกันตั้งแต่แรกแล้ว”
ฉู่ยี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ครับผมรู้ มันก็แค่……”
ถังลั่วเหยาขมวดคิ้วขึ้น “อะไรคะ?”
ฉู่ยี่กระแอมออกมาแล้วทำท่าทางแปลกๆพูดว่า “เอ่อ……ที่จริงคุณก็อาจจะลองพึ่งพิงผมดูบ้างก็ได้”
ถังลั่วเหยาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นคนอื่นฉันอาจจะพิจารณาดูก็ได้ แต่ถ้าเป็นคุณน่ะเหรอ เฮ้อ……ช่างมันเถอะค่ะ สำหรับพวกเราแล้วการรักษาระยะห่างและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันมากเกินไปจะดีที่สุด”
ฉู่ยี่พูดอะไรไม่ถูก
เขารู้ถึงความคิดของถังลั่วเหยาดีและรู้ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้