บทที่50 ยากที่จะอธิบายสั้น ๆ ได้
อารมณ์หดหู่ที่มีอยู่แต่เดิมก็เจือจางลงมากเช่นกัน
“อืม เธอพูดถูก แต่ว่าฉันเองก็ลืมไปแล้วว่าจะโปรยเสน่ห์ยังไง ไหนเธอสอนฉันหน่อยสิ!”
จิ่งหนิงก็ไม่สนใจว่าเธอจะยั่วเธอจึงพูดกลับ: “ได้สิ เพื่อความสุขสมหวังของพี่ ต่อให้ฟันฝ่าขวากหนามฉันก็ไม่กลัว พี่รอเดี๋ยวนะ ให้ฉันวางสายแล้วเปิดวิดีโอคอลกับพี่”
จิ่งหนิงวางสายไปแล้วกดวิดีโอคอล และโทรติดอย่างรวดเร็ว
ปลายสาย หัวเหยาพิงอ่างล้างมือด้วยแขนของเขา และมองหน้าเธอด้วยสีหน้าตลก
“เพื่อนสาว มาสิ! เริ่มแสดงเลย”
ทั้งสองนั้นโตมาด้วยกัน จึงรู้จักกันและกันอย่างหมดเปลือกแล้ว
จิ่งหนิงเองก็ไม่กลัว เธอวางโทรศัพท์ไว้บนชั้นหนังสือ แล้วเริ่มแสดงผ่านทางหน้าจอนั้น
ด้วยท่าทางน่าเกลียดและคำพูดเหมือนบทละครหลังข่าว+คำรักหวานเลี่ยน
ประเภทว่าไม่เจอกันหลายปี ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน
คนอาจจะคิดว่าฉันมีคนอยู่เคียงข้างมากมาย มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่ามีเพียงเธอเท่านั้นที่เป็นโลกทั้งใบของฉัน!
เธอคือแสงสว่างในดวงใจ เธอคือสีสันในชีวิตของฉัน
รักเธอมานานแต่เธอไม่เคยรู้ ขอโทษด้วย
คนที่หลงรักสายธารเพราะไม่เคยเห็นมหาสมุทรกว้าง แต่ฉันในวันนี้สามารถพูดได้ว่า ฉันเคยพบเห็นทางช้างเผือก แต่ใจฉันยังรักมั่นเพียงดาวดวงน้อย
……
ในระหว่างที่จิ่งหนิงกำลังพร่ำเพ้อถึงบทละครหลังข่าวอยู่นั้น กลับไม่ได้สังเกตเลยว่าประตูที่อยู่ด้านหลังนั้นถูกเปิดออกช้า ๆ
ลู่จิ่งเซินเลิกงานและกลับมาบ้าน เขาได้ยินว่าจิ่งหนิงกลับบ้านแล้ว เขาคลายเนกไทและเดินขึ้นข้างบน
ภายใต้แสงไฟสลัว เขาเห็นหญิงสาวในชุดนอนกำลังทำท่าลูบไล้ร่างกายของเธอโดยหันหน้าไปทางชั้นหนังสือ
เธอทำท่าไปแล้วก็บิดเอวส่ายไปมา อีกทั้งยังเอาแต่พูดคำพูดพวกนั้น
ทั้งคำพูดที่ว่าเธอคือดวงใจของฉัน เธอคือทุกอย่าง เธอคือส่วนเติมเต็ม
ไม่มีเธอเป็นดั่งคืนมืดที่ไร้ดาว ปลาที่ไร้สายน้ำ ชีวิตช่างไร้ความหมาย
รักคุณเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ที่ที่ฉันอยากไปที่สุดคือในใจของเธอ…
Emmmmm…
สรุปแล้ว มันยากจะอธิบายในคำเดียว
หัวเหยาที่อยู่ในจอนั้นก็กำลังดูอย่างเพลิดเพลิน
แต่ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่สายตาเริ่มไม่เป็นปกติ
จิ่งหนิงสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยของเธอ จึงหยุดแสดงแล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ: “นี่ ฉันพยายามแสดงตั้งขนาดนี้ เธอช่วยเคารพทักษะการแสดงฉันด้วยได้ไหม?”
หัวเหยาหัวเราะอย่างเขินอาย
“หนิงหนิง เธอ…มีแฟนใหม่แล้วเหรอ?”
“เธอรู้ได้ยังไง?”
หัวเหยาชี้ไปที่ด้านหลังเธอ
จิ่งหนิงตัวแข็งทื่อ
สายตามองไปที่มุมหางตาขวาของตัวเอง
วินาทีถัดมา เธอเบิกตาโพลง เหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสก ๆ และอึ้งไปอยู่ตรงนั้น
เห็นเพียงลู่จิ่งเซินที่พับเสื้อสูทไว้มือหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างนั้นยังคงถือเนกไทไว้ ยืนสูงเพรียวอยู่ตรงนั้น
เขายิ้มที่มุมปาก ดวงตาที่ลึกของเขาดูเหมือนจะมีรอยยิ้มเล็กน้อย เขายืนตัวตรงและยิ้มให้เธอ
จู่ ๆ จิ่งหนิงก็รู้สึกร้อนใจจนแทบจะอยากตาย!
เธอกดปิดหน้าจอ จากนั้นก็หันมาแล้วทำตาโตจ้องมองเขา
ลู่จิ่งเซินพยายามอย่างมากที่จะกลั้นหัวเราะ เขาวางเสื้อสูทและเนกไทบนเก้าอี้ด้านข้างแล้วเดินไปหาเธอ
จิ่งหนิงเบ้ปากจนเธอแทบจะร้องไห้แล้ว
“ลู่จิ่งเซิน คุณเข้าห้องมาทำไมไม่เคาะประตูคะ?”
ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้วและงงงวยเล็กน้อย “ก็นี่บ้านผม พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีอะไรที่ดูไม่ได้นี่ แล้วทำไมผมต้องเคาะประตูล่ะ?”
จิ่งหนิง: ……
น่าโมโหจริง ๆ!
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจะเข้าท่า!
เธอร้องไห้ไม่ออก รอยยิ้มในดวงตาของลู่จิ่งเซินนั้นยิ่งล้ำลึก
“เมียจ๋า อันที่จริงถ้าคุณต้องการ ก็บอกผัวได้ ไม่ต้องอาย ผัวจะเอาอกเอาใจให้คุณมีความสุข ขังตัวเองไว้ในห้องแล้วบรรเทาความต้องการแบบนี้ ผลลัพธ์นอกจากไม่ดีแล้วยังทำลายสุขภาพด้วย รู้ไหม?”
ทันใดนั้นแก้มของจิ่งหนิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
เข้าใจว่าเขาคงจะเข้าใจผิดอะไรสักอย่างจึงรีบอธิบาย
“ฉัน ไม่ได้ คือ…ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นนะ!”
“งั้นคืออะไร?”
เขาค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเธอช้า ๆ ทีละก้าว ๆ
เพียงไม่กี่ก้าวก็อยู่ตรงหน้าเธอ
ฮอร์โมนเพศชายที่แข็งแกร่งพุ่งเข้ามาที่ปลายจมูกเธอ พร้อมกับลมหายใจเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาทำให้ใบหน้าของจิ่งหนิงแดงขึ้นในทันใด
เธออึกอักไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
ทำได้เพียงพูดออกไปอย่างมั่วซั่ว: “ฉันเปล่านะ ฉันไม่มี คุณอย่าพูดจาไร้สาระ”
“พูดจาไร้สาระ?”
ลู่จิ่งเซินหัวเราะเบา ๆ และก้มตัวลงทันที มือข้างหนึ่งจับข้างแก้ม อีกมือหนึ่งวางไว้ตรงที่เธอวางโทรศัพท์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วหยิบรูปถ่ายมาใบหนึ่ง
“ดึก ๆ ดื่น ๆ เข้ามาในห้องนอนคนเดียวแล้วพูดจาสัปดนกับรูปถ่ายของผม ยังกล้าบอกว่าไม่คิดถึงผมเหรอ? หืม?”
น้ำเสียงของเขาจริงจังและแหบพร่า ฟังแล้วเซ็กซี่แทบบ้า
จิ่งหนิงหน้าแดงไปจนถึงต้นคอ
เมื่อครู่เธอวางโทรศัพท์มือถือไว้ ก็เพียงแค่หาที่ที่สามารถวางยึดโทรศัพท์เอาไว้ได้โดยง่ายก็เท่านั้น
ทันได้สังเกตที่ไหนว่ามีรูปของเขาวางไว้อยู่บนนั้นน่ะ?
แต่ในตอนนี้พูดไปสองไพรเบี้ย อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ ผู้ชายหลงตัวเองคนนี้ไม่แน่ว่าจะมโนไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!
เธอทำได้เพียงก้าวเท้าไปข้างหลังและเบี่ยงประเด็น
“ฉะ…ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว ฉันจะไปนอน!”
พูดจบเธอหันหลังกลับเพื่อจะไป
แต่จู่ ๆ ก็ถูกชายคนนั้นจับข้อมือไว้
จิ่งหนิงสะดุ้งและจากนั้นเธอก็เพิ่งสังเกตได้ว่า ถอยไปข้างเตียงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ขาของเธองอกับขอบเตียง ความเจ็บปวดทำให้เธอร้องอุทานขึ้น ขาของเธออ่อนลงและล้มลงบนเตียงอย่างจัง
ลู่จิ่งเซินที่คิดจะชอนตัวเธอไว้ คิดไม่ถึงทันใดนั้นจิ่งหนิงก็คว้าคอเสื้อของเธอด้วยความตื่นตระหนก
ทันใดนั้นจุดศูนย์ถ่วงของเขาก็ไม่เสถียรและเธอก็ทำให้เขาล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน
“ปุ” ดังขึ้นเบา ๆ ทั้งคนล้มลงบนเตียงอย่างแรง ยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาใด ๆ มีสัมผัสที่นุ่มนวลที่ริมฝีปาก จิ่งหนิงเบิกตาโพลง
รอบด้านเงียบและแสงไฟสลัว ลู่จิ่งเซินอยู่บนตัวเธอ ความรู้สึกประหลาดใจฉายไปทั่วใบหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากกลับประกบเข้ากับริมฝีปากเธอแน่น ความรู้สึกอ่อนนุ่มและอบอุ่นเหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่ส่งคลื่นไปยังสมองให้รู้สึกไร้เรี่ยวแรง
ประตูห้องนอนยังไม่ได้ปิดและมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา
ทันใดนั้น ป้าหลิว ก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูห้อง
“คุณผู้ชายคะ มีโทรศัพท์มาจากตี้ตู ค่ะ…ว้าย!”
“ขะ…ขอโทษค่ะ ดิฉันเห็นประตูไม่ได้ปิดเลยเดินเข้ามา ฉะ ฉะ…ฉัน คุณผู้ชาย คุณนาย เชิญพวกคุณตามสบาย! ดิฉันขอตัวลงไปข้างล่างก่อน!”
พูดจบก็รีบวิ่งเตลิดออกไป
จิ่งหนิง: ……
เธอหลับตาแล้วสูดหายใจลึก
เธอหันกลับมาแล้วจ้องลู่จิ่งเซินเขม็ง
“คุณ!”
ลู่จิ่งเซินยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แสดงออกว่าเรื่องนี้จะโทษเขาก็ไม่ได้ เขาเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนี้
จิ่งหนิงปวดท้องด้วยความโกรธ
ในที่สุดเรื่องก็จบลงด้วยการที่จิ่งหนิงไปหาป้าหลิว เพื่ออธิบาย
ลู่จิ่งเซินกลับไม่ยี่หระ อธิบายก็อธิบาย ยังไงเสียพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ป้าหลิว เป็นผู้มีประสบการณ์ ไม่มีทางจะเชื่อคำพูดเธออยู่แล้ว
คงจะรู้สึกเพียงแค่ว่าเธอรู้สึกอายจึงอยากจะปิดเรื่องนี้ไว้
เมื่อคิดถึงจูบเมื่อครู่ ชายหนุ่มยื่นมือออกไปแตะริมฝีปากตัวเอง สัมผัสที่นุ่มนวลดูเหมือนจะยังคงอยู่ ความหอมหวานและยอดเยี่ยมเหมือนทุกครั้ง
เขาอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือ