บทที่513 มีวี่แวว
ถัวลั่วเหยาบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วส่ายหน้า “ไม่เป็นไร แค่เวียนหัวนิดหน่อย”
เสี่ยวฉิงเห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยปกติ ยื่นมือออกมาและจับหน้าผากของเธอด้วยความสงสัย
“อุ๊ย พี่ลั่วเหยาไข้ขึ้นแล้วนะคะ”
ถังลั่วเหยาผงะเล็กน้อยค่อนข้างแปลกใจและเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของตัวเอง
แต่เพราะตัวเธอเองเป็นไข้และตัวร้อน ดังนั้นตัวเองลูบตัวเองแล้วจึงไม่รู้สึกอะไร
มีเพียงรู้สึกวิงเวียนอย่างหนักจนสายตาพร่ามัวเมื่อมองสิ่งต่างๆ
เสี่ยวฉิงเริ่มกังวลและต้องการโทรหาหมอโดยเร็ว แต่กลับถูกถังลั่วเหยาขวางไว้
“อย่าเพิ่งเรียก” เธอยื่นมือออกไปอย่างอ่อนแรง ไตร่ตรองและพูด: “เธอช่วยไปลาป่วยกับผู้กำกับหลิวให้ที บอกว่าคืนนี้ฉันกลับไปที่กองถ่ายไม่ได้แล้ว ไปแบบส่วนตัวนะ อย่าให้คนเห็นเยอะเกินไป เดี๋ยวพวกเราไปหาหมอที่โรงพยาบาลกันเองก็ได้”
เสี่ยวฉิงยังคงกังวล “แต่ตอนนี้พี่เป็นแบบนี้…”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างมากก็แค่ตกน้ำแล้วหนาวเมื่อกี้ แถมยังเป็นช่วงเวลาพิเศษ ยังไม่ตายหรอก”
เสี่ยวฉิงกัดริมฝีปาก สุดท้ายทำได้เพียงเชื่อฟังแล้วทำตาม
เสี่ยวฉิงอธิบายเหตุผลให้หลิวหมิงฟังเป็นการส่วนตัว แต่หลิวหมิงกลับเป็นคนมีเหตุผล เพียงแต่มีความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เธอไม่สบายแต่กลับปกปิดมันไว้
มีความหมายหลักว่าถังลั่วเหยาทำให้เขากลายเป็นคนร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
เสี่ยวฉิงเองก็เบื่อที่จะพูดกับเขา เพียงแค่ท่าทีที่เขามีกับถังลั่วเหยาเมื่อวานแล้วไม่คิดบ้างว่าทำไมคนอื่นเขาถึงไม่กล้าบอก
เธอรีบกลับไปและเรียกคนขับรถมาและไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนถังลั่วเหยาอย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกด้านนั้น ในทางกลับกันแม้ว่าเสี่ยวฉิงจะไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะ แต่ข่าวที่ถังลั่วเหยาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจากจบฉากก็ยังแพร่ออกไป
เรื่องผู้หญิงคนหนึ่งมีรอบเดือน ไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ไปทั่ว
ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ก็คือถังลั่วเหยาถ่ายทำฉากในน้ำ อยู่ในน้ำไม่ถึงสองนาทีก็เข้าโรงพยาบาล
บางคนส่ายหัวและถอนหายใจ
เฮ้ ดาราแถวหน้าก็คือดาราแถวหน้า บอบบางเหลือเกิน
เกรงว่าคนขับจะต้องขับรถเร็วขึ้นมิฉะนั้นอาการป่วยจะหายก่อนถึงโรงพยาบาล
เพราะในตอนบ่ายหลิ่วยู่เอ๋อก็มีถ่ายฉากในน้ำ เพียงแต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ ฉากนั้นเป็นฉากอาบน้ำริมสระน้ำ
ข้อดีของฉากแบบนี้คือไม่มีการต่อสู้ ไม่ต้องลำบากมากนัก มีเพียงแค่ต้องนั่งอยู่ตรงนั้นก็พอ
และที่ไม่ดีก็คือหากต้องอยู่ในน้ำนานอีกทั้งยังเป็นนอกสถานที่ พอนานเข้าก็ยังคงหนาวอยู่ดี
แต่หลิ่วยู่เอ๋อก็ยังถ่ายทำเสร็จสิ้นอย่างสวยงาม เมื่อถ่ายเสร็จ เธอยังเป็นฝ่ายของถ่ายซ้ำเพื่อเลือกรอบที่ดีที่สุดด้วย
เมื่อเทียบกับถังลั่วเหยาที่ NG หลายครั้งและผ่านไปอย่างทุลักทุเล เรียกว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ทันใดนั้นถังลั่วเหยาจากคนสวยจิตใจดีงามดั่งดอกไม้ที่สวยงามนั้น กลับกลายเป็นคนที่ไม่สามารถจะอดทนความลำบาก ดัดจริตมีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนดอกบัวขาว (แรด)
ส่วนหลิ่วยู่เอ๋อที่อยู่ในวงการบันเทิงมีชื่อเสียงแบบกลางๆ ทันใดนั้นก็กลายเป็นเทพีแห่งการอุทิศตนในสายตาของทุกคน
บางคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเป็นการส่วนตัวว่าวงการบันเทิงเป็นอะไรที่ไร้เหตุผล บางคนพยายามแทบตาย ต่อสู้ถ่ายละครอยู่เป็นสิบปี แต่กลับสู้คนหน้าตาดีไม่ได้
ใครใช้ให้ยุคนี้เป็นยุคที่เน้นหน้าตากันล่ะ?
คำพูดประเภทที่ว่าศีลไม่ถึงยังคงถูกพูดถึงต่อไปในกองถ่าย และถูกกระจายออกไปทั่วทั้งกองอย่างรวดเร็ว
ข่าวด้านลบเกี่ยวกับถังลั่วเหยาเล่นใหญ่ กลั่นแกล้งนักแสดงหญิงกองถ่ายเดียวกันและเอะอะโวยวาย ใช้เวลาเพียงวันสั้น ๆ และแม้แต่คนในกองถ่ายที่อยู่ข้างๆก็รู้เรื่องนี้
เป็นจังหวะที่หัวเหยาก็กำลังถ่ายทำอยู่ที่โรงถ่ายข้างๆ พอดี และได้รับบทนักแสดงนำหญิงในละครย้อนยุคเช่นเดียวกัน
เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะรู้ว่าถังลั่วเหยาเป็นศิลปินในสังกัดของจิ่งหนิง และจะพูดไปด้วยความสัมพันธ์ของทั้งคู่กับจิ่งหนิงจึงได้สังสรรค์กันอยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าจะไม่มีความสนิทสนมส่วนตัว แต่ก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนทั่วไปได้
เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ หากจะให้ถามถังลั่วเหยาต่อหน้าคงไม่ดี จะต้องเตือนให้จิ่งหนิงรู้ก่อน
จิ่งหนิงหลังจากคลอดลูกแล้วก็ออกจากวงการอย่างสมบูรณ์
เมื่อก่อนรู้สึกว่าการถ่ายละครนั้นสนุก แต่ตั้งแต่มีจิ้งเจ๋อ เมื่อเทียบกับชีวิตในกองถ่ายที่ผันผวนมากมายแล้ว เธอกลับชอบอยู่บ้านเสียมากกว่า และยังสามารถเจอลูกชายได้ตลอดด้วย
ดังนั้นในช่วงเวลานี้ เธอจึงอยู่ที่วิลล่าเฟิงเฉียวตลอด มีเพียงการไปที่อานหนิงกั๋วจี้และซิงฮุยทุกวัน และดูเหมือนจะผันตัวไปเบื้องหลังหมดแล้ว
ในตอนที่รับโทรศัพท์ของหัวเหยานั้น เธอยังแปลกใจเล็กน้อย ทันทีที่เธอได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นเธอก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เพราะตั้งแต่ถังลั่วเหยาเปิดตัวจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะในเรื่องการอยู่ในวงการหรือเรื่องงานต่างก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
ความนิยมก็ได้รับมาไม่น้อยและตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องดังนั้นจึงไม่มีสิ่งที่ต้องกังวลมากมาย
จิ่งหนิงยังต้องจัดการธุระทางอานหนิงกั๋วจี้ และพลังงานที่เธอสามารถจัดสรรได้มีจำกัด ดังนั้นเธอจึงฝากภารกิจของเธอให้กับเสี่ยวเหอและซูหง
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
เธอใคร่ครวญแล้วพูดขึ้น: “เรื่องนี้ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะให้คนไปตามเรื่องนะ”
หัวเหยาเห็นเช่นนั้นจึงไม่พูดอะไรมากมายกับเธออีกแล้ววางสายไป
หลังวางสายไป จิ่งหนิงรีบโทรไปหาซูหง
ซูหงรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้เรื่องนี้และจะตรวจสอบเรื่องนี้ทันทีก่อนที่จะบอกเธอ
ท้ายที่สุดมันเป็นเพียงข่าวลือเล็กน้อยและหลังจากคำอธิบายจิ่งหนิงก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีก
ช่วงเวลานี้ทางด้านประเทศFนั้นก็มีข่าวว่ามีการพบพยานในช่วงที่ตา K เสียชีวิต
อีกฝ่ายอ้างว่าบังเอิญผ่านมา ไม่ได้ตา K ตายเห็นด้วยตา แต่เห็นชายในชุดเสื้อหนังสีดำเดินออกมาจากทางเดิน
เนื่องจากท้องฟ้ามืดมากและไม่มีไฟถนนรอบ ๆ เพราะเขาไม่เห็นรูปลักษณ์ของบุคคลนั้นอย่างชัดเจน
เพียงแค่รับรู้อย่างคลุมเครือว่าอีกฝ่ายควรเป็นชายชาวตะวันออกไม่ใช่ชาวตะวันตก
เบาะแสนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีประโยชน์เต็มที่ แต่อย่างน้อยก็ได้ให้แนวทางแก่จิ่งหนิงอยู่บ้าง
กลุ่มชาวตะวันออกที่มีมากในประเทศFนอกจากตระกูลจื่อจิน ก็มีกลุ่มมังกร
อย่างไรก็ทั่วยุโรปมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทุกคนมักมองข้าม
นั่นก็คือกลุ่มชาวจีน
กลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่แล้วเดิมเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มคนที่ลี้ภัยไปต่างประเทศเพื่อรักษาความอบอุ่นและให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน
ต่อมาสงครามสงบลงและเมื่อความปลอดภัยค่อยๆ ลดลงองค์กรไม่ได้ถูกยกเลิก แต่เปลี่ยนจากองค์กรปกป้องซึ่งกันและกันเป็นผู้นำชุมชนท้องถิ่น
เนื่องจากปกติคนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่เก็บเนื้อเก็บตัวมากจึงไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็น
และเนื่องจากมีสมาชิกจำนวนมาก แทบจะทุกที่ที่มีชาวจีนก็ต้องมีกลุ่มชาวจีน ถึงแม้จะพื้นที่ใหญ่มาก แต่ก็กระจัดกระจาย
พูดให้น่าฟังก็คือกลุ่ม พูดอย่างไม่น่าฟังก็เรียกได้ว่ามีแค่ชื่อเท่านั้น
ปกติแล้วก็มีเพียงไม่กี่คนที่จะพูดถึงองค์กรนี้ที่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี แม้ว่าจะไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ จิ่งหนิงก็คงจำไม่ได้ว่ายังมีองค์กรแบบนี้อยู่
เธอขมวดคิ้วและใช้ความคิด
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มั่นใจว่าเรื่องคราวนี้จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวจีน แต่ถ้าหากว่าฆาตกรเป็นชาวตะวันออก การค้นหาจากกลุ่มชาวจีนก็ดีกว่าการที่ตนเองจะต้องงมเข็มในมหาสมุทรมาก