บทที่514 ถ่ายทำบนภูเขา
เมื่อคิดแบบนี้ เธอจึงได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับลู่จิ่งเซิน
เมื่อลู่จิ่งเซินได้รับข่าวนี้ก็รู้สึกว่าวิธีที่เธอคิดนั้นก็สามารถทำได้ ดังนั้นเขาจึงส่งคนไปยัง ประเทศFในคืนนั้นเพื่อติดต่อกับคนจากกลุ่มชาวจีนในท้องที่
อีกด้าน ถังลั่วเหยากลับมาจากโรงพยาบาล
เมื่อกลับมาที่กองถ่ายก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ
สายตาที่จ้องมาอย่างไม่เป็นมิตรนั้นดูจะหนักกว่าเมื่อก่อนหน้านี้
เธออยู่ในวงการมานานหลายปี สาเหตุที่เธอปฏิเสธที่จะให้เสี่ยวฉิงเรียกหมอมาที่กองถ่ายก่อนหน้านี้ก็เพราะว่าเธอกลัวว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดึงดูดให้คนเอาไปนินทาได้
ในตอนนี้ยังจะมีที่ไหนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?
บังเอิญที่โทรศัพท์ของซูหงโทรเข้ามาพอดี พูดถึงเรื่องนี้ ถังลั่วเหยารู้ว่าเธอไม่ควรจะปิดบังเรื่องนี้ จึงเล่าสถานการณ์ปัจจุบันให้ฟัง
รวมทั้งเรื่องเมื่อวานและวันนี้ด้วย เธอเล่าให้เธอฟังทั้งหมด
ซูหงฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“หลิ่วยู่เอ๋อ? เธอกับหล่อนไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกันด้วยและไม่ใช่ประเภทเดียวกันด้วย เธอจะเผชิญหน้ากับเธออย่างไม่มีเหตุผลทำไมกัน?”
ถังลั่วเหยาถอนหายใจและล้มตัวลงนอนบนเตียง
“หากฉันรู้สาเหตุว่าทำไมคงจะไม่โดนเล่นงานแบบนี้หรอกค่ะ”
เธอพูดแบบนี้ ซูหงก็ลังเลเหมือนกัน แต่เธอคิดอยู่นานและคิดว่าถังลั่วเหยาคงจะไปขวางทางของหลิ่วยู่เอ๋อเข้าสักช่วงเวลาหนึ่ง
อย่างไรก็ตามถังลั่วเหยายังเด็ก แค่ในวัยยี่สิบต้นๆ และดังมาได้ก็แค่สองปี และกำลังอยู่ในช่วงที่จะพัฒนาไปเป็นดาวที่เจิดจรัสและมีชื่อเสียง
ส่วนหลิ่วยู่เอ๋อเข้าวงการมาสิบปี อายุก็สามสิบแล้ว ทั้งสองไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ อารมณ์ เส้นทางที่เดิน สไตล์ ล้วนไม่ใช่เส้นทางเดียวกันเลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเธอถึงตั้งใจจะตั้งเป้า หรือแม้กระทั่งทำร้ายถังลั่วเหยา?
มีอยู่หนึ่งอย่างที่ซูหงไม่ได้พูดออกไปก็คือในวงการหลิ่วยู่เอ๋อนั้นมีชื่อเสียงดีมากทีเดียว
แตกต่างจากนักแสดงหญิงที่มีอิทธิพลของส้งเจียเจียที่ไม่เก่งในการแสดง แต่เป็นคนเจ้าอารมณ์ หลิ่วยู่เอ๋อมีทักษะการแสดงที่แท้จริงและเป็นตัวละครที่แข็งแกร่ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเธอดูจืดจางไปเพราะเธอไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามกฎที่มืดมนของวงการจึงได้อยู่ในระดับกลางๆ ในวงการมาตลอด
ไม่เช่นนั้นตามความสามารถที่แท้จริงของเธอน่าจะดังไปได้ตั้งนานแล้ว
ซูหงคิดแบบนี้จึงถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับเธอ
อันที่จริงถังลั่วเหยาก็รู้สึกพิศวงงงงวยกับเรื่องนี้อยู่บ้าง ต่อให้คิดย้อนกลับไปอย่างละเอียด ก็คิดไม่ออกว่าตนเองไปทำให้อีกฝ่ายโกรธตอนไหนกันแน่
เธอทำได้เพียงถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “พี่ซูหงคะ ฉันไม่รู้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นวันหลังให้ฉันถามต่อหน้าเลยไหมคะ?”
ซูหงยกมุมปากแล้วกลอกตา
“เอาเถอะ คนอื่นเขาเล็งมาถึงหน้าประตูแล้ว เธอยังจะไปถาม เท่านี้ยังจมูกถูฝั่นไม่พอหรือไง?” (เป็นการอุปมาว่าโดนปฏิเสธแล้วทำตัวไม่ถูก)
ถังลั่วเหยาหัวเราะ เมื่อซูหงเห็นว่าถามจากเธอแล้วไม่ได้อะไร จึงไม่ถามอะไรอีกแล้ววางสายไป
วันต่อมา ที่กองถ่ายให้คนมาแจ้งให้ถังลั่วเหยาทราบล่วงหน้า เพราะวันนี้ต้องถ่ายฉากที่อยู่บนเขา ดังนั้นจะต้องออกเดินทางค่อนข้างเช้า
ถังลั่วเหยาลุกขึ้นจากเตียงอย่างสะลึมสะลือ หลังจากพักผ่อนมาทั้งคืน ไข้ก็ลดลงแล้วและร่างกายของเธอก็ดีขึ้นมาก จึงไม่มีปัญหา
ในตอนที่เสี่ยวฉิงเข้ามาก็หาวหวอดๆ ทั้งสองเก็บของแล้วก็ออกไปพร้อมรอยคล้ำใต้ตาไปที่รถตู้ที่ทีมงานเตรียมไว้ให้
เพราะต้องรีบให้ทันแสงอาทิตย์จึงต้องรีบ ไปแต่งหน้าที่ฉากก็คงจะไม่ทันแน่
ดังนั้นช่างแต่งหน้าจึงรออยู่บนรถแล้ว เพื่อที่จะได้รีบเดินทางและแต่งหน้าไปด้วยได้
ดีที่ถังลั่วเหยาล้างหน้าแล้วตอนที่ออกมา และถนนจากตรงนี้ไปยังสถานที่ถ่ายทำยกเว้นช่วงสุดท้าย ช่วงแรกเป็นถนนคอนกรีตที่ค่อนข้างราบเรียบ ไม่แสดงการกระแทกเมื่อมันตกลงมา และการแต่งหน้าก็ทำได้ไม่ยาก
ช่างแต่งหน้าแต่งคิ้วของเธอก่อนและในไม่ช้าเธอก็แต่งหน้าแบบโบราณที่มีลุคกล้าหาญมาก
ถังลั่วเหยาส่องกระจกดูแล้วพอใจมากและมองดูเวลาก็เพิ่งหกโมงเช้าเท่านั้น
พระเจ้ารู้ว่าคนจากกองถ่ายปลุกให้เธอลุกขึ้นมาจากเตียงตอนกี่โมง
เมื่อเสี่ยวฉิงเห็นว่าเธอทำเสร็จหมดแล้วจริงๆ ก็หยิบอาหารเช้าออกมาจากกระเป๋าแล้วพูด: “กินอะไรเสียหน่อยไม่ให้ท้องว่างค่ะ”
ถังลั่วเหยาพยักหน้าแล้วแบ่งอาหารเช้าให้กับช่างแต่งหน้าและสตาฟในกองถ่าย จากนั้นจึงหยิบขนมปังขึ้นมาแทะ
เธอแทะขนมปังไปและดึงผ้าม่านของรถด้วย
ก็เห็นว่าที่นอกหน้าต่างนั้นยังไม่สว่าง มีเพียงแสงขาวๆ เท่านั้นที่ตรงขอบฟ้า ชั้นละอองน้ำที่หนาวเหน็บในฤดูใบไม้ร่วงเกาะอยู่บนกระจกรถเป็นชั้น ถึงจะไม่ได้ออกไปก็สามารถรู้สึกได้ถึงความหนาวไปถึงกระดูก
“วันนี้อุณหภูมิลดลงรึเปล่า?”
ไม่รู้ว่าจู่ ๆ ใครก็ถามขึ้นมา
เสี่ยวฉิงตอบรับ “ใช่ลดลง เมื่อวานยังสิบห้าองศา วันนี้เหลือแค่เจ็ดแปดองศา ฉันดูพยากรณ์อากาศตอนที่ออกจากบ้าน ยังบอกด้วยว่าวันนี้จะมีฝนตกหนัก”
ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ทีมงานคนหนึ่งก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
“วันนี้มีฉากสะพานแขวน ถ้าหากว่าฝนตกหนักคงถ่ายได้ยาก หวังว่าจะตกช้าๆ หน่อย ให้ถ่ายเสร็จก่อนแล้วค่อยตก”
ถังลั่วเหยายิ้มแล้วพูด: “อีกเดี๋ยวเธอจะเจอวัดราชามังกร เข้าไปไหว้ก็ได้ ไม่งั้นคนจะฟังคุณได้ยังไง”
เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นมาก
“คุณอย่าพูดไป บนภูเขามีวัดราชามังกรอยู่จริงๆ ถ้าผ่านไป ฉันจะลงไปกราบพระ”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันกับเขา
ใช้เวลาไม่นานในการขึ้นไปบนภูเขา
เมื่อไปถึงที่หมายก็เป็นเวลาหกโมงครึ่งเท่านั้น
ขอบฟ้าสว่างรำไร มีเพียงเส้นขาวพุงปลาที่ไม่ชัดเจน โลกทั้งใบยังคงอยู่ในห้วงนิทรา
ภูเขามีลมแรงและอุณหภูมิก็เย็นลงเสี่ยวฉิงหยิบเสื้อโค้ดที่เธอนำมาด้วยจากกระเป๋าและใส่ให้ถังลั่วเหยาแล้วกลุ่มก็เดินไปที่สะพานแขวน
คนจากแผนกฉากนั่งรถอีกคันหนึ่งมาและเร็วกว่าพวกเขาเล็กน้อย ในตอนนี้เองก็ได้เตรียมไฟและอุปกรณ์ประกอบฉากอื่นๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว
หลิวหมิงก็มาถึงแล้ว ในตอนนี้ผู้กำกับให้ทีมจัดแสงเพื่อจัดฉาก
เมื่อหันไปเห็นถังลั่วเหยามาถึงแล้วจึงพูดขึ้น: “เธอไปทำความคุ้นเคยกับบทและสคริปต์ วันนี้อากาศไม่ดี คาดว่าอีกสักพักฝนจะตก พวกเรารีบถ่ายรีบเก็บของหน่อยดีกว่า ภูเขาลูกนี้ไม่ค่อยจะปลอดภัย”
ถังลั่วเหยาพยักหน้าและตอบรับแล้วหันไปและเดินไปท่องบทที่อีกฟาก
อันที่จริงเธอท่องบทได้ขึ้นใจก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่เนื่องจากทุกคนกำลังยุ่ง ตัวเองจะยืนดูอยู่เฉยๆ ก็ดูกระไรอยู่
วันนี้คนที่เข้าฉากกับเธอเป็นนักแสดงชายหน้าใหม่คนหนึ่ง แสดงเป็นผู้ติดตามเจ้าชาย
ในฉากนี้ถังลั่วเหยาที่เป็นนางเอกจะต้องเดินข้ามสะพานแขวนเพื่อพบกับพระเอกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ส่วนพระเอกนั้นถูกศัตรูจับตัวไป เธอจะต้องแลกมันด้วยชีวิตของเธอจึงจะปกป้องเขาให้รอดปลอดภัยได้
แต่ความจริงนั้น นักแสดงนำชายคนนี้แท้จริงแล้วไม่ใช่พระเอกตัวจริง แต่เป็นศัตรูที่หลอกใช้เธอ ให้คนอื่นหลอกลวงเธอ
นี่ไม่ใช่ฉากที่ยอดเยี่ยมมาก แต่อาจถือได้ว่าเกินเหตุเพราะในตอนนี้นางเอกเดาได้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่พระเอกที่แท้จริง
เพียงแต่ไม่เข้าถ้ำเสือ ใยจะได้ลูกเสือ เธอต้องการจะเข้าไปตรวจสอบ
แม้ว่าพล็อตจะฟังดูซับซ้อน แต่พูดถึงการแสดงแล้วค่อนข้างง่าย