บทที่ 546 อดีตของเธอ
ทันทีนั้นเธอเต็มเปี่ยมด้วยความหวัง มือขวาดึงมือของเฟิงยี่ไว้ ให้ เฟิงยี่ช่วยตนเองตลอด
ตอนนี้ถังลั่วเหยาก็เหมือนดั่งได้จับฟางข้าวที่ช่วยชีวิตไว้ต้นหนึ่ง ล้วนไม่อยากสูญสิ้นความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อันนี้สักนิด
เฟิงยี่ขมวดคิ้ว สายตาที่เย็นชากวาดผ่านคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ต่อหน้า ดึงเธอเข้ามา
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ผมอยู่นี่”
เขาถอดเสื้อคลุมของตนเองออก คลุมอยู่บนกายของถังลั่วเหยา ปลอบโยนเธออยู่ตลอด
เพราะว่าก่อนหน้านี้ถังลั่วเหยาจะโดนผู้ชายเหล่านั้นฉีกเสื้อบางส่วนออกไปแล้ว
แต่เนื่องเพราะก่อนหน้านั้นเธอปกป้องเสื้อที่อยู่หน้าอกโดยตลอด ดังนั้นถึงแม้ว่าอยู่ในสถานการณ์คับขันลำบาก สุดท้ายก็ยังถือว่าปกป้องตนเองอย่างดี
คนกลุ่มนั้นที่อยู่ตรงข้ามโดนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันตื่นตกใจมึนงงหนึ่งที เพราะว่าไม่รู้จักเฟิงยี่ เพียงถือว่าเป็นการบุกรุกเข้ามาผิด
คนกลุ่มหนึ่งสีหน้าโหดเหี้ยมพูดว่า “ไอ้หนุ่ม ไม่เกี่ยวกับมึง กูเตือนมึงไสหัวออกไปให้ไกลๆเดี๋ยวนี้”
ทั้งพูด ทั้งยื่นมือชี้ไป
จากนั้นมือเพิ่งยื่นออกไปถึงกลางอากาศ ก็แค่ได้ยินเสียงร้องทรมานที่แหลมเศร้ารันทดเสียงหนึ่ง
“อ่า—!”
ข้างหลังเฟิงยี่มีบอดี้การ์ดสองคนพุ่งออกมาจากไหนไม่รู้ ทันทีก็พลิกมือเขากลับไป ล็อกอยู่ไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ
คนที่เหลือล้วนโดนการเปลี่ยนแปลงนี้จนตกใจเลย ต่างคนต่างถอยออกไปก้าวหนึ่ง ตื่นตะลึงจ้องมองเขา
“มึง มึงเป็นใครหรือ?”
เฟิงยี่เย็นชาจ้องมองเขาหนึ่งที ขี้เกียจตอบ
เขากอดถังลั่วเหยาอยู่ในอ้อมอก พูดเสียงเย็นชาว่า “ผมให้ทางเลือกพวกคุณสองอย่าง คุกเข่าลงขอโทษกับเธอด้วยตนเอง ถ้าไม่……วันนี้มือข้างไหนลงมือ ตัดมือข้างนั้นทิ้ง!”
เสียงพูดเพิ่งจบ บอดี้การ์ดที่จับคนคนนั้นไว้ออกแรงที่ข้อมือ ทันทีนั้นได้ยินเพียงเสียงร้องเหมือนดั่งฆ่าหมูดังขึ้นอีกครั้ง
คนทั้งกลุ่มล้วนตกใจจนใกล้จะตับแตกแล้ว พวกเขาดูแล้วเหมือนเป็นไอ้คนที่อยู่ในสังคมกลุ่มหนึ่งแท้ที่จริงเพียงแค่เป็นอันธพาลกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีเรื่องทำเท่านั้น
ยามปกติก็อาศัยงานที่ขู่เข็ญขู่กรรโชกดำรงชีวิต รังแกคนที่อ่อนแอกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่า กลายเป็นสัญชาตญาณของสรีระร่างกายแล้ว
เจอกับถังลั่วเหยาเหมือนดั่งรังแกได้แบบนี้ก็ยังดี ถ้าหากว่าเจอกับคนคนหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย ก็จะถอนตัวอย่างง่ายดาย
ที่จริงแล้ว พวกเขาแม้ว่าไม่รู้จักเฟิงยี่ แต่สามารถมองออกจากบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลังเขาหลายคนนั้น คนคนนี้แส่หาเรื่องได้ไม่ง่ายนะ
บวกกับลักษณะกายนั้นของเฟิงยี่ที่จากเล็กถูกเลี้ยงดั่งมีค่าเช่นทองคำและหยกจนโต ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่ถ้าไม่รวยก็สูงส่งคนหนึ่ง
พวกเขาเพียงแค่อยากได้เงินสักหน่อย ถังลั่วเหยาเป็นบุคคลสาธารณะ ก็ไม่มีภูมิหลังอะไร ฐานะเดิมยากจน ถึงแม้ว่าโดนรังแกก็ไม่กล้าออกเสียงเช่นกัน
แต่เฟิงยี่ไม่เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ คนทั้งกลุ่มก็อยากจะถอยออกไป
พ่อถังเห็นสภาพ ร้อนใจในทันที
วันนี้ยากที่จะจับฉวยโอกาสนี้ได้ ย่อมจะปล่อยผ่านอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นคราวหน้าอยากจะหลอกถังลั่วเหยาออกมาอีกครั้ง ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว
เขารีบพูดว่า “พวกคุณอย่าฟังเขา พวกเขามีเพียงแค่สามคน พวกเรามีคนมากมายขนาดนี้ล่ะ ถ้าหากลงมือขึ้นมาจริงๆยังไม่รู้ว่าใครจะเสียเปรียบ อยากจะใช้คำพูดเรื่อยเปื่อยไม่กี่คำก็จะขู่พวกเราไว้ ฝันไปเถอะ!”
พูดอยู่ ดุร้ายเต็มใบหน้าพูดกับถังลั่วเหยาอีกว่า “แม่มึงเอ่ย ดีเลวกูก็ยังเป็นพ่อของมึง มึงก็ร่วมมือกันกับคนนอกแบบนี้มาจัดการกูหรือ? มึงเข้ามาหากู!”
ถังลั่วเหยาเย็นชาจ้องมองเขา นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยไฟโมโห
ทันทีที่เฟิงยี่ได้ยินคำพูดของฝั่งตรงข้าม อึ้งชะงักหนึ่งที
โดยจิตใต้สำนึกก้มหัวจ้องมองไปยังผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด ถามว่า “เขาพูดอะไรหรือ? เขาเป็นพ่อคุณหรือ?”
ถึงแม้ว่าในปีนั้นทหารถังออกจากลานเร็วกว่า แต่เขาจำได้ว่าทหารถังไม่ได้มีหน้าตาแบบนี้
อีกทั้งแม้ว่าทหารถังฐานะเดิมเป็นทหาร แต่กลับมีคุณสมบัตินิสัยเที่ยงธรรมอย่างมากมาแต่เดิมเช่นกันโดยตลอด ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเรื่องตกต่ำอย่างนี้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้นนี่ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่?
สีหน้าถังลั่วเหยาหนาวขึงลับ อธิบายพูดว่า “เขาเป็นพ่อเลี้ยงฉัน”
เสียงของเธอเบามาก แต่เฟิงยี่กลับได้ยินอย่างชัดเจน
เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงอย่างรุนแรง
แทบจะไม่กล้าเชื่อจ้องมองถังลั่วเหยา
เวลาที่ผ่านมาเหล่านี้ เวลาที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกันไม่น้อยเลย แต่เขากลับเนื่องเพราะคิดว่าตนเองเข้าใจครอบครัวของเธอเพียงพอแล้ว และถือกฎเกณฑ์ที่ว่า “เคารพ” เธออยู่ ไม่เคยแอบสืบอะไรเธอมาก่อน
อีกทั้งก็ไม่เคยถามอะไรมาก่อน แยกจากกันหลายปีนี้ เธอประสบเจออะไรมา เติบโตได้ยังไงหรือ
เขาคิดว่า เธอเพียงแค่ปกติมาก ธรรมดามากมาโดยตลอด ก็เติบโตเหมือนดั่งคนทั่วไปทั้งหลายเดินมาถึงในวันนี้
เขาไม่เคยคิดมาก่อน คิดไม่ถึงเธอยังมี……พ่อเลี้ยงอะไรล่ะ?
ถ้าหากว่าคนนั้นเป็นพ่อเลี้ยงเธอจริงๆ งั้นทหารถังล่ะ?
ทหารถังไปไหนแล้วหรือ?
ปัญหาทั้งหมด อยู่ในเวลานี้ ล้วนได้เพียงแค่พยายามกลืนกลับไป เพราะว่าไม่ใช่เวลาที่จะถาม
เฟิงยี่ปกป้องถังลั่วเหยาอยู่ในอ้อมอก มองเห็นผู้ชายที่เหมือนดั่งอันธพาลคนหนึ่งที่อยู่ต่อหน้า พูดเสียงเย็นชาว่า “ผมไม่สนใจว่าคุณเป็นใคร ตั้งแต่นี้ไป หากว่าคุณกล้ารบกวนเธออีกแม้แต่นิด ผมย่อมไม่เกรงใจคุณอย่างแน่นอน!”
ตามเสียงพูดของเขาจบลง บอดี้การ์ดทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ถึงยังไงก็ผ่านการฝึกฝนอย่างมืออาชีพมาก่อน เพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่นใบหน้าไร้สีหน้าจ้องมองฝั่งตรงข้าม ลักษณะพลังก็เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนสยบคนอื่นแล้ว
มาเฟียเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีคนไม่พอใจ กลับรู้ว่าเรื่องนี้เอะอะโวยวายออกไปแล้วไม่มีผลดีต่อกับตนเอง ทันทีนั้นล้วนไม่กล้าพูดอะไร
เฟิงยี่นี่จึงปกป้องถังลั่วเหยา หมุนตัวออกไปเลย
……
บนรถ
บรรยากาศเงียบเหลือเกิน
บอดี้การ์ดหลายคนล้วนอยู่ในรถคันข้างหลังหมด ในรถคันนี้ที่เฟิงยี่กับถังลั่วเหยานั่งอยู่ นอกจากคนขับรถ ก็มีเพียงแค่พวกเขาทั้งสองคน
เสื้อผ้าของถังลั่วเหยาถูกฉีกขาดแล้ว บนกายคลุมเสื้อคลุมของเฟิงยี่ไว้ บวกกับนี่เป็นรถที่เขาออกเดินทางมักจะใช้บ่อย ด้วยเหตุนี้บริเวณนั้นล้วนเป็นกลิ่นของเขาหมด ก็เหมือนดั่งตาข่ายที่ละเอียดมาก ห่อหุ้มเธอไว้อย่างแน่น
อารมณ์ถังลั่วเหยาทั้งหดหู่และสลับซับซ้อน
ผ่านไปนานมาก เธอจึงเอ่ยปาก
“คุณก็ไม่มีอะไรที่จะถามฉันหรือ?”
เฟิงยี่ได้ยินคำพูดนี้ ในที่สุดก็เก็บสายตากลับมาจากนอกหน้าต่าง หันหน้าจ้องมองไปยังเธอ
บนใบหน้าที่ประณีตหล่อใบนั้น ในเวลานี้ไม่มีสีหน้าที่เหลืออะไรมากเลย แต่ถังลั่วเหยากลับได้รู้สึกถึงการตำหนิตนเองกับความเจ็บใจ
หัวใจของเธอสั่นระริกหนึ่งทีอย่างรุนแรง
“เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?”
เขาถาม น้ำเสียงมีความต่ำแหบเล็กน้อย
ถังลั่วเหยาจ้องมองเขา ไม่ค่อยเข้าใจ “อืม?” เสียงหนึ่ง
เฟิงยี่ได้เพียงแต่ถามอีกประโยคหนึ่ง “คุณอาถังเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ถังลั่วเหยาชะงักงัน
เธอระลึกถึงอย่างละเอียดหนึ่งที จำไม่ได้ว่าเลยตนเองพูดกับเขาเรื่องของบิดาเสียชีวิตมาก่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ บุคลิกลักษณะประจำตัวของเฟิงยี่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปสืบอดีตของเธออย่างตามใจ
ด้วยเหตุนี้มีความไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อยถามกลับว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าพ่อฉันเสียชีวิตไปแล้วล่ะ?”
ก็ไม่รู้ว่าคือเยาะเย้ยตนเองหรือเยาะเย้ยคนอื่น เขาเย็นชาชักมุมปากหนึ่งที
“ถ้าหากว่าคุณอาถังยังอยู่บนโลกนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คุณได้รับการรังแกจากคนมหาเหี้ยแบบนี้”
ถังลั่วเหยา “…….”
มีบางเวลาก็เป็นเช่นนี้ หลักธรรมที่ตื้นมาก ยามปกติตนเองจะไม่ไปสนใจยิ่งไม่ไปเจาะลึกมากกว่านี้
แต่ก็อยู่ในเวลาที่ไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้นที่ไม่กี่รอบนั้น ฝั่งตรงข้ามจะสังเกตเห็นอย่างฉลาดหลักแหลม เอ่ยออกมา สะเทือนเส้นประสาทที่อ่อนแอที่สุดของคุณเส้นนั้น
ถังลั่วเหยาฝืนใจยิ้มแล้วยิ้มอีก “ตอนที่ยังเด็กมาก ประมาณฉันอายุสิบปีนั่นมั้ง”
เฟิงยี่ขมวดคิ้วขึ้นมา