บทที่561 ก็แค่เพื่อเงิน
หลังจากเต้นรำถังลั่วเหยาก็หอบ เฟิงยี่พาเธอไปที่ส่วนพักผ่อนเพื่อนั่งลงและกระซิบ: “นั่งพักก่อน ผมมีเรื่องต้องจัดการ”
ถังลั่วเหยาพยักหน้าอย่างว่าง่าย
การกระทำทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้สายตาของส้งเจียเจียที่อยู่ไม่ไกล
คืนนี้เธอเองก็สวมชุดเดรสชีฟองสีม่วงอ่อนซึ่งเป็นสีที่เฟิงยี่ชอบที่สุด
เมื่อก่อนตอนทั้งคู่คบกัน เขายังเคยบอกด้วยว่าการได้เห็นเธอสวมชุดนี้ก็เหมือนกับการได้เห็นดอกจื่อเวย ที่เบ่งบานบนภูเขาสง่างามและเป็นอิสระซึ่งอบอุ่นใจ
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดจริงหรือหลอก แต่ส้งเจียเจียก็ยินยอมที่จะเชื่อว่านั่นคือความจริง
แน่นอนว่าก่อนที่เฟิงยี่จะคบกับถังลั่วเหยาก็เคยผ่านผู้หญิงมามากมาย
แต่ผู้หญิงเหล่านั้นส่วนมากมักจะหายไปอย่างรวดเร็ว มีแต่ส้งเจียเจียที่อยู่ได้นานที่สุด
ดังนั้นโลกภายนอกต่างก็ยอมรับโดยปริยายว่าไม่ว่าเฟิงยี่จะไปเที่ยวเล่นข้างนอกอย่างไร ส้งเจียเจียก็คือตัวจริง
ยิ่งกว่านั้น ภูมิหลังครอบครัวของส่งเจียเจียก็ไม่เลว ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สี่ตระกูลยักษ์ใหญ่ แต่ว่าอยู่ในแวดวงคนดังในเมืองหลวง และมีชื่อเสียงพอสมควร
ในฐานะดารายอดนิยมแน่นอนว่าเธอต้องสวย หลายปีมานี้ก็มั่นใจในรูปลักษณ์ของตนเองมาตลอด
แต่ตอนนี้เมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นมีความสุขกับความรักใคร่เอ็นดูและเอาใจใส่จากชายหนุ่มไปได้ง่ายๆ ความหึงหวงโอบรอบคอของเธอราวกับเถาวัลย์ป่าทำให้เธอหายใจไม่ออก
เสว่เอ๋อผู้จัดการของเธอไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังตอนไหน เธอมองถังลั่วเหยาที่อยู่ในพื้นที่พักผ่อนอย่างเย็นชา
และพูดอย่างประชดประชัน: “ก็แค่ปีศาจจิ้งจอกที่ไต่เต้ามาจากที่ต่ำต้อยเท่านั้น ยังกล้าจะมาทำตัวกำเริบเสิบสาน”
ส้งเจียเจียหันไปมองเธอ ดวงตาที่งดงามของเธอแดงเล็กน้อย “เสว่เอ๋อ คุณชายเฟิงเขาไม่ต้องการฉันแล้วจริงๆ เหรอ?”
“ไม่หรอก ไม่ว่ายังไงก่อนหน้านี้พวกเธอก็คบกันตั้งนาน หล่อนจะสู้เธอได้ยังไงกัน? ก็แค่ตัวตลกเท่านั้น ผู้ชายน่ะกินอาหารเลิศรสเยอะๆ บางทีก็อยากจะลองเปลี่ยนบรรยากาศไปกินอาหารจืดชืดไร้รสดูบ้าง ไม่กี่ครั้งก็เบื่อ สุดท้ายก็ต้องกลับมาหาเธอ”
“แต่ว่า…ฉันก็ยังเป็นกังวล”
ส้งเจียเจียส่ายหน้าน้ำตาไหลดั่งสายฝน ตัวสั่นเทาด้วยความโศกเศร้า ยิ่งดูน่าสงสารมากเข้าไปอีก
“พี่ไม่รู้อะไรตั้งแต่วันนั้น เขาก็เย็นชากับฉัน ฉันรู้สึกอยู่ตลอดว่าในใจของเขาไม่มีฉันแล้วจริงๆ”
เสว่เอ๋อขมวดคิ้ว เธอมองไปรอบๆ และหลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครสังเกตมาทางนี้แล้วจึงกระซิบ: “ครั้งก่อนไม่ใช่ว่าเธอใช้ให้หลิ่วยู่เอ๋อไปเล่นงานเธอในกองถ่ายแล้วไม่ใช่เหรอ? สุดท้ายทำไมถึงล้มเหลว? แล้วยังเปิดโอกาสให้คุณชายเฟิงเป็นฮีโร่อีก นี่มันใช้ไม่ได้เลยนะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ส้งเจียเจียก็กัดริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้
ครู่หนึ่งเธอจึงพูดขึ้น: “ยู่เอ๋อน่ะทำเสียเรื่องแถมยังถูกคุณชายเฟิงตรวจสอบได้อีก ยังโชคดีที่ฉันให้เงินไปเยอะ เธอก็เลยปากแข็ง ดังนั้นจึงไม่หลุดเรื่องของฉัน”
ครู่หนึ่งก็พูดอีก: “แต่ฉันไม่ยอมวางมือแค่นี้แน่”
เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้เสว่เอ๋อก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่มองเธออย่างจริงจังแล้วพูด: “งั้นเธอมีวิธีอะไร”
ส้งเจียเจียส่ายหน้า “ตอนนี้ฉันยังไม่รู้”
เสว่เอ๋อหัวเราะแล้วพูด: “แต่ฉันเพิ่งจะได้ข่าวมา เธออยากจะรู้ไหมล่ะ?”
ส้งเจียเจียได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ข่าวอะไร?”
เสว่เอ๋อยื่นปากเข้าไปใกล้หูเธอแล้วกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
ใบหน้าของซ้งเจียเจียแสดงสีหน้าไม่เชื่อทันทีจากนั้นก็มีร่องรอยของความตื่นเต้นจนตัวสั่น
“พี่พูดจริงเหรอ?”
เสว่เอ๋อพยักหน้า “อ้อ” จริงแท้แน่นอน ในตอนที่ได้ข่าว ฉันยังใช้ให้คนไปเช็กเพื่อป้องกันข่าวปลอมเลยนะปรากฏว่าเป็นเรื่องจริงแน่นอน พ่อเลี้ยงของเธอเป็นผีพนัน ได้ยินว่าแถมยังสูบไอ้นั่น หลายปีมานี้เงินที่เธอหามาได้ ส่วนมากก็โดนพ่อเลี้ยงเธอผลาญหมด เธอยังมีแม่อีกคนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจเข้าโรงพยาบาลตลอด คิดๆ ดูแล้วที่เธอคบกับคุณชายรองเฟิงก็คงเพื่อเงินนั่นแหละ”
ส้งเจียเจียได้ยินข่าวนี้แล้วตื่นเต้นจนมือไม้สั่น
“เพื่อเงิน…ที่แท้ก็เพื่อเงิน งั้นก็ง่ายเลย”
เสว่เอ๋อก็พยักหน้าและมองไปทางนั้นและหันกลับมาตบไหล่เธอ
“ยังไงซะ ฉันก็บอกข่าวเธอแล้ว เธอจะลงมือยังไงก็คิดเอาแล้วกัน ตอนนี้ถ้าทนดูไม่ได้ก็กลับก่อนเถอะ อย่าฝืนตัวเองเลย”
ส้งเจียเจียพยักหน้า “อือ ฉันรู้แล้วค่ะ”
ถังลั่วเหยารอไปทั้งหมดหนึ่งชั่วโมงในระหว่างนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วย เธอซึ่งกำลังเบื่อจึงคุยเล่นกับเขา
คนที่อยู่ในสถานที่แบบนี้มีใครบ้างไม่ใช่พวกตลบตะแลง ตั้งแต่แรกที่เห็นเธอเต้นรำกับเฟิงยี่ก็รู้แล้วว่าสถานะของเธอในคืนนี้คืออะไร เมื่อเห็นเธอถูกหยอกเย้าและหัวเราะร่วนจึงรีบพูดขึ้น: “นับเป็นโชคดีของผมที่วันนี้ได้รู้จักกับคุณถัง หากมีโอกาสหวังว่าคุณหวังจะช่วยเชียร์ผมต่อหน้าคุณชายรองเฟิงด้วย”
ในระหว่างที่คุยก็มีเช็คใบหนึ่งอยู่ในมือและยื่นไปทางเธอ
ถังลั่วเหยาแววตาเป็นประกายเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูด “คุณโจวยกย่องฉันเกินไปแล้วค่ะ ฉันกับคุณชายรองเฟิงเป็นเพื่อนกันเท่านั้น เกรงว่าคงจะไม่สามารถทำอะไรได้”
ผู้ชายแซ่โจวเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นแบบนั้นก็ไม่เซ้าซี้และเก็บเช็คไปและยกแก้วขึ้นให้เธอ “ไม่เป็นไรครับ ผมก็ยังคงรู้สึกดีใจที่ได้รู้จักคุณถังที่ทั้งฉลาดและหน้าตาดี”
เฟิงยี่ออกมาและเห็นภาพนี้พอดี หญิงสาวพูดจาและหัวเราะร่วนและดวงตาเป็นประกายดุจหยดน้ำกลางแสงไฟ เห็นชัดว่าท่านั่งเอียงมากแล้ว แต่กลับเหมือนตัวเธอนั้นส่องสว่างจนทุกคนในห้องโถงนั้นถูกบดบังไป
เขาเดินเข้าไปคว้าเอวของหญิงสาว ถังลั่วเหยายิ้มให้เขา “คุณกลับมาแล้วเหรอ”
ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นเป็นประกายเจิดจ้าและจิตใจของเขาก็สั่นไหว รับคำเบาๆ
“คุณชายรองเฟิง กระผมแซ่โจว ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน เป็นเกียรติที่ได้พบคุณที่นี่”
ชายแซ่โจวทักทายอย่างกระตือรือร้น ถังลั่วเหยาจับแขนของเฟิงยี่ เธอยิ้มแล้วพูด: “คุณโจวเป็นคนมีอารมณ์ขันมากค่ะ เมื่อครู่ฉันรอคุณจนเบื่อมาก โชคดีที่เขาอยู่คุยเป็นเพื่อนให้หายเบื่อ”
เฟิงยี่ก้มหน้าเล็กน้อยและเห็นแววเจ้าเล่ห์แวบผ่านดวงตาของหญิงสาวเหมือนสุนัขจิ้งจอก
เขายิ้มเล็กน้อยและลูบศีรษะเธอ “ขอโทษนะ ครั้งต่อไปจะไม่ให้คุณต้องรอนานขนาดนี้แล้ว”
น้ำเสียงเอาใจและอ่อนโยนสุด ๆ
ถังลั่วเหยาตกตะลึง หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ
ผู้ชายคนนี้…จงใจเหรอ?
จะต้องพูดว่า ถึงแม้ว่าปกติเฟิงยี่จะเป็นพ่อพวงมาลัย แต่พอเอาจริงขึ้นมาก็เปลี่ยนเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว
เรียกได้ว่ามีเสน่ห์ล้นเหลือ
ตอนนี้เฟิงยี่ได้พูดคุยกับนายโจวแล้ว ทั้งสองชนแก้วกัน เขายิ้มเล็กน้อย: “ขอบคุณที่คุณช่วยดูแลเหยาเหยา ต่อไปถ้ามีเวลาก็แวะเวียนไปนั่งเล่นที่เฟิงซื่อกรุ๊ป เพื่อนกันทั้งนั้น อย่าได้เกรงใจ”
แววตาของนายโจวแวววาว ทั้งประหลาดใจและดีใจ “ขอบคุณมากครับคุณชายรองเฟิง ผมจะไปแน่ๆ”
เขารู้ว่าสถานะอย่างเฟิงยี่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น แต่เดิมมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไต่เต้าตระกูลเฟิงด้วยคุณสมบัติของเขา แต่เมื่อมีคำพูดนี้ของเฟิงยี่ อยากจะเข้าตระกูลเฟิงก็ง่ายขึ้นเยอะแล้ว”