บทที่576 ต้องถ่ายทำแน่นอน
“จนเขาพูดคำพูดนั้นกับผม ผมก็รู้สึกสะเทือนใจมาก ผมเพิ่งรู้ว่าเขาคือกระดูกสันหลังของผู้กำกับชาวจีนของเราและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงชื่นชมเขา”
จากนั้นลู่หยั่นจือก็เล่าเรื่องจางซินที่พูดกับเขาในตอนนั้นให้จิ่งหนิงฟัง
จิ่งหนิงได้ยินแล้วก็ตกตะลึง
คิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดแบบนั้นจะออกมาจากปากของผู้กำกับที่ยังอายุน้อย
เขาบอกว่า “หลายปีมานี้ หนังไซไฟตะวันออกถูกตะวันตกหลอกหลอน ไม่ใช่เพราะพวกเราอยากจะเป็นฝ่ายถูกทำให้แพ้ แต่เพราะเรายังขาดเทคโนโลยีและไม่มีความสร้างสรรค์ที่ล้ำหน้า ส่วนเขาหวังว่าจะเป็นคนแรกที่ทำลายอุปสรรคและเป็นผู้นำในภาพยนตร์แนวไซไฟตะวันออก เป็นคนแรกที่เข้าไปในมุมมองของฝั่งตะวันตก ให้พวกเขาได้รู้ว่าโลกของคนฝั่งตะวันออกก็สามารถสร้างหนังไซไฟดีๆ ได้” หลังลู่หยั่นจือพูดจบทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
จิ่งหนิงนั่งพิงพนักเก้าอี้อยู่ตรงนั้นและไม่พูดอะไรอยู่นาน
ลู่หยั่นจือก็ไม่เร่งรัดเธอ เพียงแต่ยื่นเอกสารประเมินงบประมาณทั้งหมดและสิ่งที่จำเป็นและวางไว้ตรงหน้าเธอ
ผ่านไปครู่หนึ่งจิ่งหนิงจึงพูดขึ้น: “คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ เรื่องนี้ฉันต้องคิดดูก่อน”
อย่างไรก็ตามการลงทุนตั้งห้าร้อยล้านจะทำชุ่ย ๆ ไม่ได้
ลู่หยั่นจือเองก็รู้ว่าจะกล่อมให้จิ่งหนิงเห็นด้วยทั้งหมดตั้งแต่ครั้งแรกนั้นยาก ดังนั้นจึงไม่ดึงดัน เขาลุกขึ้นและพยักหน้าแล้วหันเดินออกไป
หลังจากลู่หยั่นจือออกไป จิ่งหนิงจึงได้ทบทวนดูเอกสารพวกนั้นอย่างจริงจัง
กว่าจะดูจนหมดก็หมดเวลากว่าสองชั่วโมง
จิ่งหนิงยืดตัวอย่างเหนื่อยล้ายืนขึ้นและขยับร่างกายของเธอ
ต้องพูดว่าโครงการนี้ลำพังดูจากข้อมูลพวกนี้ก็ดูออกว่าลู่หยั่นจือใช้ใจจริงๆ
ไม่ว่าจะเพื่อความปรารถนาสุดท้ายของเพื่อนรัก หรือเพื่อทำหนังไซไฟเพื่อชาวฝั่งตะวันออกก็ดี
อย่างไรเสียเมื่อดูจากข้อมูลแล้ว โครงการนี้ก็มีความเป็นไปได้
จิ่งหนิงใช้ความคิดละโทรไปหาลู่จิ่งเซิน
ลู่จิ่งเซินกำลังเข้าประชุมอยู่ที่สำนักงานใหญ่ลู่ซื่อกรุ๊ป เมื่อรับสายของเธอก็ยกมือขึ้นเพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงของลู่ซื่อกรุ๊ปหยุดรายงานและเดินไปด้านข้างแล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: “หนิงหนิง มีอะไร?”
จิ่งหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ลูบคิ้วและยิ้ม: “ฉันโทรมารบกวนเวลางานคุณรึเปล่าคะ”
ลู่จิ่งเซินมองดูกลุ่มผู้บริหารระดับสูงที่มองเขาตาแป๋วรอให้เขาวางสายเพื่อจะได้ประชุมต่อแล้วพูด: “เปล่า ผมเพิ่งว่างและกำลังจะโทรหาคุณพอดีเลย”
ผู้บริหารระดับสูง: “…”
จิ่งหนิงยิ้มและพูด “งั้นก็ดีค่ะ มีเรื่องที่ฉันลังเล อยากจะให้คุณช่วยตัดสินใจ”
“อือ คุณพูดมา”
จิ่งหนิงเล่าเรื่องไปตามจริงให้ลู่จิ่งเซินฟัง
หลังจากลู่จิ่งเซินได้ฟังแล้ว กลับยังไม่แสดงความคิดเห็นอะไรแค่ถามกลับ “แล้วคุณคิดว่าไง?”
จิ่งหนิงลังเลพักหนึ่ง สุดท้ายก็เลือกพูดความจริง
“ความเสี่ยงสูงมาก แต่ถ้าหากว่าทำได้ นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องของผลประโยชน์เรื่องเม็ดเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของหนังไซไฟอีกด้วย”
ลู่จิ่งเซินได้ยินแล้วก็ยกมุมปากเล็กน้อย
จากนั้นก็ตัดสินใจอย่างไม่ลังเล “งั้นก็ทำ”
“ฮะ?”
จิ่งหนิงคิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบรับเร็วขนาดนี้จึงตกใจ
“ไม่ใช่ คุณเข้าใจที่ฉันเล่าให้คุณฟังไหมคะ?”
ลู่จิ่งเซินยิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและความมั่นใจ
“ผมเข้าใจแล้ว แต่ในเมื่อคุณบอกแล้วว่ามันจะมีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จ งั้นก็ต้องทำสิ”
“แต่หากขาดทุนล่ะ? เงินลงทุนจำนวนนี้ไม่ใช่เงินน้อยๆ เลยนะคะ ยิ่งกว่านั้นจากที่ฉันดู ไม่มีใครมั่นใจในเรื่องนี้เลย ดังนั้นหากจะระดมทุนจากภายนอกคงจะได้น้อยมาก ดังนั้นคงจะต้องเป็นทุนจากอานหนิงกั๋วจี้เอง”
ลู่จิ่งเซินยังคงยิ้มราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย
“ก็เพราะความเสี่ยงสูงมาก พวกเราถึงต้องทำไง”
จิ่งหนิงสับสนเล็กน้อยและไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
จึงได้แต่ฟังเสียงของลู่จิ่งเซินถอนหายใจเบาๆ
“คุณไม่ได้บอกว่าหากมันสำเร็จแล้วจะเป็นการยกระดับไปอีกขั้น? เรื่องแบบนี้นอกจากอานหนิงกั๋วจี้ของเราแล้ว จะมีใครมีความมั่นใจและกล้าทำแบบนั้นอีกล่ะ? ถ้าหากเราไม่กล้ารับความเสี่ยงนี้ งั้นต่อให้มีหวังเพียงแค่สิบเปอร์เซ็นต์ก็คงไม่มีวันเป็นไปได้”
จิ่งหนิงตกใจอย่างรุนแรง
ลู่จิ่งเซินพูดต่อ: “หากขาดทุน เราก็ได้ลองแล้ว ไม่ติดค้างอะไรในใจอีก คุณว่าใช่ไหมล่ะ?”
ปลายสายเงียบไป
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงของจิ่งหนิง
เหมือนกับเธอจะหัวเราะและมีความสับสนใจน้ำเสียง
“อาเซิน คุณนี่ช่าง…” จิ่งหนิงหัวเราะแล้วหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น: “ฉันยิ่งรักคุณเข้าไปทุกที”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างมีความสุขเพราะประโยคนี้
ในห้องประชุมผู้บริหารระดับสูงที่นั่งรอลู่จิ่งเซินคุยโทรศัพท์เสร็จและประชุมต่อไม่ได้ยินสิ่งที่จิ่งหนิงพูดในโทรศัพท์มือถือ
เพียงแค่เห็นเจ้านายของพวกเขาที่ปกติสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง ตอนนี้กลับมีสีหน้าทั้งอบอุ่นและรักใคร่ รอยยิ้มแปลก ๆ และอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าเย็นชานั้น
บรื๋อ——
ทุกคนตัวสั่นกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ลู่จิ่งเซินมองกลับไปที่พวกเขาจากนั้นพูดกับโทรศัพท์: “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ตกลงตามนี้”
จิ่งหนิงพยักหน้า “อือ งั้นฉันก็จะทำค่ะ”
“อือ คุณตัดสินใจได้แล้วก็ดี”
พอวางโทรศัพท์ลู่จิ่งเซินก็กลับไปที่โต๊ะประชุม แววตาของเขากลับมาเย็นชาเหมือนเดิมเขากวาดตามองทุกคนและนั่งลง
ผู้บริหารที่รายงานข้อมูลก่อนหน้านี้ก็กระโดดเข้ามาและรายงานเกี่ยวกับงานก่อนหน้าของเขาต่อไป
ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นั่งตัวตรงเพียงแต่แอบนินทาอยู่ในใจ
ส่วนอีกฟากหนึ่ง
จิ่งหนิงที่ได้รับชี้นำจากลู่จิ่งเซินแล้วก็เข้าใจความหมายเขาอย่างแจ่มแจ้ง
ใช่แล้ว เงินลงทุนเยอะและความเสี่ยงสูงแบบนั้น มองในแง่ธุรกิจ ตอนนี้มีแต่อานหนิงกั๋วจี้เท่านั้นที่มีความสามารถและกำลังทรัพย์ที่จะทำเรื่องแบบนี้
ถ้าหากว่าประสบความสำเร็จ นี่ถือว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
ถ้าหากขาดทุนก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็มีคนทำเรื่องนี้ในที่สุด
ถ้าหากไม่มีคนเริ่มก้าวออกไปคนที่อยู่ข้างหลังก็จะยิ่งไม่กล้าทำ และหนังไซไฟภายในประเทศก็จะไม่มีวันได้เกิด
เมื่อคิดแบบนี้ จิ่งหนิงก็โทรหาลู่หยั่นจือให้เขาหาเวลาว่าออกมาคืนนี้ จากนั้นนัดกับคนเขียนบทและเธอจะคุยกับพวกเขาอีกครั้งในตอนเย็น
ลู่หยั่นจือได้ยินแล้วก็ดีใจกับข่าวที่เกินคาดนี้
เดิมที่คิดว่าคงจะต้องรออีกนานกว่าจะได้ข่าวและอาจจะไม่ใช่ข่าวดี
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้รับโทรศัพท์ของจิ่งหนิงเร็วขนาดนี้
เขาที่ปลายสายถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ: “จริงเหรอครับ? โครงการนี้ยืนยันว่าผ่านแล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงยิ้มและพูด: “ยังค่ะ แต่ฉันสนใจมาก อยากจะเข้าใจให้มากกว่านี้ ได้ไหมคะ?”