บทที่577 วัยรุ่นมาก
แน่นอนว่าลู่หยั่นจือไม่มีทางปฏิเสธได้ เขารีบพยักหน้า “ได้ ได้แน่นอนครับ”
ดังนั้นในคืนนั้นทั้งสามคนจึงหาสถานที่และพูดคุยกันสั้น ๆ เกี่ยวกับโครงการ
การพูดคุยครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น
ลู่หยั่นจือไม่เพียงทำโครงการนี้ด้วยความตั้งใจ
เขารู้ว่าหากจิ่งหนิงลงทุนในโครงการนี้แล้วก็ต้องแบกรับความเสี่ยงและรู้ด้วยว่าตนเองมีสายสัมพันธ์ทางญาติพี่น้องกับลู่จิ่งเซิน แต่เขาก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนเพราะความสัมพันธ์นี้
ดังนั้นเขาจึงทำสิ่งนี้ด้วยความจริงใจอย่างเต็มที่
ทั้งสามคนคุยกันอยู่สองชั่วโมงเต็มๆ จึงคุยกันเสร็จ
หลังจากทำความเข้าใจโดยละเอียดจิ่งหนิงก็พบว่าถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะมีความเสี่ยงสูงแต่ก็เป็นโอกาสที่จะได้ลองทำ
อย่างที่ลู่จิ่งเซินพูด การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้ หากแม้แต่อานหนิงกั๋วจี้ยังไม่กล้าทำก็ไม่มีใครกล้าทำแล้ว
ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ได้รับผลประโยชน์ตามที่ควรได้ก็เป็นธรรมชาติที่ควรจะต้องแบกรับความรับผิดชอบ
สุดท้าย จิ่งนิงเห็นด้วยที่จะกับโครงการที่ลู่หยั่นจือนำเสนอ
เพราะสัปดาห์หน้าจะต้องเดินทางไปทำธุระที่ต่างประเทศแล้ว ดังนั้นเธอจึงให้เงินเขาได้เพียงบางส่วน และรอเธอกลับมาจัดการกับส่วนที่เหลือ
เรื่องนี้ตกลงตามนี้ก่อนเป็นการชั่วคราว
หลังจากทั้งสามคนแยกย้าย จิ่งหนิงก็ตรงกลับบ้าน
ในช่วงเวลานี้ อานอานอยู่ที่วิลล่าเฟิงเฉียวตลอด
จิ้งจื๋อน้อยอายุหนึ่งขวบแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังเล็กและยังขาไม่แข็ง แต่ก็เริ่มมีแววความแสบสันแล้ว
ตัวอย่างเช่น มักจะชอบเล่นซนในห้องหนังสือของพ่อของเขาและชอบขีดเขียนบนโต๊ะเครื่องแป้งของจิ่งหนิงเสมอ
ทุกครั้งที่ทำเรื่องแสนซน ปากก็จะพึมพำและไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไร
มีครั้งหนึ่ง จิ้งจื๋อน้อยวาดรูปเล่นบนพื้นและพึมพำไปด้วย
วันนั้นจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินพักผ่อนอยู่บ้าน ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับช่วงเวลาพักผ่อนที่หายไปนาน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเบาๆ ไม่ค่อยชัดเจน
“บา…บาบา”
ทุกคนตกตะลึง ส่วนลู่จิ่งเซินตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าและมองไปที่เขาด้วยความไม่เชื่อ
จิ้งจื๋อน้อยยังคงนั่งเล่นอยู่บนพื้นอย่างสบายอารมณ์โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ทำเรื่องที่น่าตื่นตะลึงอะไรไว้
หลังจากนั้นก็เห็นลู่จิ่งเซินกระโดดขึ้นจากโซฟาวิ่งเข้าไปกอดเจ้าตัวน้อยและถาม: “เมื่อกี้ลูกเรียกพ่อว่าอะไรนะ?”
ตอนนั้นจิ้งจื๋อน้อยอายุเพิ่งจะสิบเดือนยังไม่ถึงขวบมองดูเขาและนิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมา
จากนั้นก็น้ำลายไหลและพึมพำ: “ปะ…ป่าป๊า!”
ครั้งนี้ทำให้ลู่จิ่งเซินดีใจมาก!
ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เป็นพ่อคน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินลูกเล็กของตนเองเรียกเขาว่าพ่อเป็นครั้งแรกแบบนี้
ความรู้สึกที่ตื่นเต้นแบบนี้ สามารถจินตนาการได้
คืนนั้นลู่จิ่งเซินมีความสุขมากและให้คนรับใช้จัดอาหารมากมายเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง
หลังจากจิ่งหนิงรู้เรื่องนี้ก็เกิดความอิจฉา
เธอวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กน้อยและหยอก: “จื๋อจื๋อน้อย เรียกพ่อแล้ว ก็เรียกแม่ด้วยสิดีไหมลูก?”
แต่จิ้งจื๋อน้อยกลับไม่สนใจเธอเลย
กลับจ้องมองไปที่หน้าอกของเธอมือเล็ก ๆ ที่อ้วนคู่นั้นยื่นออกไปที่นั่น
“นะ…นมนม…”
จิ่งหนิง: “…”
เธอโกรธจนเกือบหน้าแดง
ถึงแม้จิ้งจื๋อน้อยจะหย่านมแล้ว แต่ก็เพิ่งเลิกได้ไม่นาน ดังนั้นพอเห็นเธออุ้มตนเองก็คิดว่าจะได้กินนมโดยไม่รู้ตัว
จิ่งหนิงร้องหึด้วยความโมโห และส่งเขาให้พี่เลี้ยงและไม่สนใจเขาอีก
ในใจยิ่งคิดยิ่งไม่ยอม
มีสิทธิ์อะไร?
เธอคลอดลูกออกมาด้วยความยากลำบาก ทำไมคำแรกที่เรียกถึงไม่ใช่แม่ แต่เป็นพ่อ?
นี่มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
ลู่จิ่งเซินเห็นเธอนั่งหงุดหงิดอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่ยิ้มทั้งวันซึ่งคิดดูก็รู้ว่าอารมณ์ดีแค่ไหน
ดีที่อารมณ์ที่หงุดหงิดของจิ่งหนิงได้รับการปลอบใจจากอานอานจึงค่อยๆ ดีขึ้น
เพราะน้องชายเกิดมา อุปนิสัยของจิ่งหนิงตอนนี้กลายเป็นเด็กที่พูดรู้เรื่องขึ้นมาก
หรืออาจจะเพราะเด็กน้อยกำลังเติบโตอย่างช้าๆ จึงได้เลิกดื้อเลิกซน เปลี่ยนเป็นเด็กดีและเอาอกเอาใจ
อันที่จริงแล้วจิ่งหนิงกลับสนิทกับอานอานมากกว่าเจ้าเด็กแสบที่เธอคลอดมาด้วยตัวเอง
บอกกับอุปนิสัยที่น่ารักและว่าง่าย เธอยิ่งเห็นก็ยิ่งรัก
อานอานเองก็คิดกับเธอเหมือนแม่แท้ๆ หลังจากมาอยู่ที่วิลล่าเฟิงเฉียวแล้ว ทุกคืนจะให้เธอเล่านิทานให้ฟังจนตัวเองหลับไปแล้วจึงจะยอมให้เธอไป
จิ่งหนิงเองก็พอใจที่อานอานติดเธอแบบนี้
บางครั้งเธอมองดูเด็กน้อยที่หลับสนิทแล้วอดคิดไม่ได้
ไม่รู้ว่าหากเธอมีแม่ ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนอย่างไร
ได้ยินมาว่าอานอานเป็นเด็กที่เกิดโดย Amy โดยใช้หลอดทดลองและไม่เหมือนกับทารก IVF คนอื่น ๆ เธอเป็นเด็กคนแรกของโลกที่เกิดจากมดลูกเทียม
ความหมายก็คือผู้หญิงคนนั้นนอกจากการบริจาคไข่แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
ลู่จิ่งเซินเกลียดความไม่ถูกต้องมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะขอให้ผู้หญิงคนอื่นท้องเพื่อให้กำเนิดลูกและใส่ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นแล้วเข้าไปในร่างกายของผู้หญิงคนอื่น
และเพราะแบบนี้อานอานที่เกิดในครรภ์เทียมจึงอ่อนแอกว่าเด็กคนอื่น ๆ ในช่วงสองสามปีแรกของวัยเด็ก
จนหลังจากหกขวบร่างกายจึงค่อยๆ แข็งแรงขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจจิ่งหนิงก็เกิดความประหลาดใจ
จู่ ๆ เธอก็พบว่าดูเหมือนตนเองจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
นั่นก็คือทำไมลู่จิ่งเซินทำไมจะต้องใช้ไข่ของผู้หญิงคนนี้เพื่อให้กำเนิดเด็กที่อ่อนแอคนนี้
นับจากอายุของอานอาน ตอนนั้นลู่จิ่งเซินก็อายุเพียงแค่ยี่สิบสองยี่สิบสามยังไม่แก่ เรียกได้ยังเป็นวัยรุ่นอยู่มาก
อายุรุ่นนั้นน่าจะไม่รีบร้อนที่จะลงหลักปักฐานและไม่รีบแต่งงานมีลูกถึงจะถูก
โอกาสและความคิดแบบไหนที่ทำให้เขาคิดว่าถึงจะมีลูกกับเธอไม่ได้ แต่ใช้วิธีการตั้งครรภ์เทียมแบบนี้เพื่อมีลูก?
เพราะรักเหรอ? หรือเพราะอย่างอื่น…
คำถามนี้อยู่ในใจของจิ่งหนิงนับตั้งแต่ที่ออกมา
แต่เธอก็ไม่กล้าเข้าไปถามลู่จิ่งเซิน
รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถาม
ที่สุดแล้วชีวิตในตอนนี้ก็มีความสุขสงบดีเป็นเหมือนกันที่เธอเคยวาดฝันไว้ เรื่องพวกนั้นไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร มันก็ผ่านไปแล้ว ทำไมเธอจะต้องไปฝืนฝอยหาตะเข็บด้วย?