“ลั่วเหยา คุณเป็นยังไงบ้าง? ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ฉู่ยี่พอถูกปล่อยออกมา ก็รีบวิ่งมาหาถังลั่วเหยาทันที
ถังลั่วเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย พอเจอกับฉู่ยี่ที่ความกระตือรือร้นขนาดนี้ ก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวไปอย่างทันที
ฉู่ยี่ยื่นมือออกมากุมมือของเธอไว้อย่างเร็ว แต่กลับคว้าได้แต่อากาศ
ถังลั่วเหยามองเขา เม้มปาก พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำๆ“ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของคุณ”
น้ำเสียงแปลกๆ ทำให้ร่างกายของฉู่ยี่ก็ชะงักตามไปด้วยเช่นกัน
ราวกับว่าตระหนักได้ถึงอะไร แล้วก็ค่อยๆเอามือลงอย่างช้าๆ สักพัก ก็ฝืนยิ้มออกมา
“คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ผมก็แค่เป็นห่วงคุณ ก็เลยมาหาน่ะ”
ถังลั่วเหยาพยักหน้า
จากนั้น ทุกคนก็ไม่พูดอะไรต่อ
บรรยากาศอึดอัดมาก เห็นๆอยู่ว่าเคยเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ตับไตไส้พุงกันหมด แต่พอตอนนี้กลับเจอหน้ากันแล้วพูดอะไรไม่ออกซะอย่างนั้น
แม้ว่าในใจจะมีคำพูดมากมายขนาดไหน แต่ตอนที่เห็นหน้าของอีกฝั่งแล้ว กลับพูดไม่ออกสักคำเดียว
ใจของฉู่ยี่ก็รู้สึกขมขื่นทันที ถังลั่วเหยาราวกับว่าไม่อยากคุยอะไรกับเขาอีกแล้ว หลังจากที่เงียบกันไปสักพัก ก็พูดขึ้นมาเบาๆ“ฉันสบายดีมาก ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ส่วนคนร้ายก็จับได้แล้ว ดังนั้นคุณสบายใจได้เลย”
ฉู่ยี่พยักหน้า นิ้วมือที่วางอยู่ข้างลำตัวก็กำแน่นเล็กน้อย
แต่ยังยิ้มๆให้กับเธออย่างอ่อนโยน
“อื้อ ผมเข้าใจแล้ว ได้เวลาแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอตัวกลับก่อนนะ”
ถังลั่วเหยาพยักหน้า
ฉู่ยี่จึงหันเดินจากไป
มองเงาหลังของเขาเดินจากไป ถังลั่วเหยาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จนกระทั่งอีกฝั่งเดินขึ้นลิฟต์ไป จึงถอนหายใจออกมาอย่างเบาๆ
เสี่ยวฉิงที่อยู่ข้างหลังพูดขึ้นอย่างเบาๆ“พี่ลั่วเหยา คุณฉู่ไปแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ”
ถังลั่วเหยาพยักหน้า แล้วก็พูดกับพวกเหลิ่งเม่ย“คืนนี้ลำบากพวกคุณแล้วนะคะ”
เหลิ่งเม่ยรีบโค้งคำนับทันที“ไม่ลำบากหรอกครับ มันเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำครับ”
ถังลั่วเหยาไม่ได้พูดอะไรต่อ หันเดินเข้าไปพร้อมกันกับเสี่ยวฉิง
ค่อยๆมืดลง คืนนี้ ถังลั่วเหยาหลับลึกมาก
ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดสองวันติด ก็หายไปจนหมดเนื่องจากการนอนในครั้งนี้
วันต่อมา ตอนที่ตื่นนอนขึ้นมา ก็เป็นเวลาเก้าโมงแล้ว
เมื่อคืนเสี่ยวฉิงไม่ได้จากไปไหน แต่นอนอยู่ที่ห้องนอนรับแขก
ดังนั้นพอ ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา ก็เห็นอาหารเช้าที่วางเตรียมอยู่บนโต๊ะในห้องอาหารเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวฉิงเห็นเธอมา ก็ยิ้มทักทาย“พี่ลั่วเหยาตื่นแล้วเหรอ?”
ถังลั่วเหยายิ้มๆพร้อมกับตอบ“อื้อ”ออกมาหนึ่งคำ เดินไปดูอาหารเช้าก่อน จากนั้นค่อยเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหน้าต่างของห้องรับแขก บิดขี้เกียจรับแสงแดด
ท้องฟ้าที่สดใสหลังฝนตก อากาศในวันนี้ดีสุดๆ
อากาศที่อึมครึมมาติดต่อกันสิบกว่าวัน วันนี้ก็มีพระอาทิตย์โผล่ออกมาให้เห็นอย่างน่าแปลกใจ
แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนกองหิมะที่อยู่ตามทางและบนต้นไม้ สะท้อนออกมาให้เห็นแสงประกายระยิบระยับ แม้แต่ความมืดมนในใจของคนก็ราวกับว่าถูกสาดส่องจนหายไปไม่น้อยเหมือนกัน
หลังจากที่ถังลั่วเหยายืดเส้นยืดสายอย่างง่ายๆแล้ว ก็กลับมาทานอาหารที่โต๊ะ
ในเวลานี้ เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น
เสี่ยวฉิงรีบวางตะเกียบลง พร้อมกับพูดขึ้น“เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูเองค่ะ!”
จากนั้นก็รีบวิ่งไปเปิดประตูอย่างรีบร้อน
ไม่คาดคิด พอประตูเปิดออก คนที่มาก็คือเฟิงยี่
เสี่ยวฉิงรู้สึกตกใจ ส่วนถังลั่วเหยากลับไม่รู้สึกแปลกใจ ลุกขึ้นยืน พูดกับเขาอย่างยิ้มๆ“กินข้าวแล้วยัง?”
เฟิงยี่ส่ายหัว“ยังไม่กิน”
เสี่ยวฉิงเห็นแบบนี้ ก็รีบพูดขึ้นอย่างรู้งาน“เดี๋ยวฉันไปหยิบถ้วยกับตะเกียบมาให้ค่ะ”
จากนั้นก็ไปเอาถ้วยกับตะเกียบมาเพิ่มอีกหนึ่งชุด
โชคดีที่เสี่ยวฉิงทำอาหารเช้ามาเยอะมาก ไม่ใช่แค่พอสำหรับเฟิงยี่เท่านั้น แม้แต่พวกเหลิ่งเม่ยที่คอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ข้างนอกก็ได้กินด้วย
ถังลั่วเหยาสังเกตได้ ว่าสีหน้าของเฟิงยี่ดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ขอบตายังดำคล้ำอีกด้วย บอกได้ว่าเมื่อคืนน่าจะไม่ได้นอนมาทั้งคืน
เธอตักโจ๊กให้เขาถ้วยหนึ่งพลางพูดถามขึ้น“เป็นยังไงบ้าง? เรื่องเมื่อคืนจัดการเรียบร้อยแล้วยัง?”
เฟิงยี่ก้มลงซดโจ๊กไปหนึ่งคำ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ“เกือบหมดแล้ว พอไปถึงท้องนา เขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปิดบังแล้ว เมื่อคืนก็พาพวกเราไปที่โรงงานเก่า ย้ายศพออกมาจากห้องใต้ดิน”
ถังลั่วเหยาได้ยินแบบนั้น แม้ว่าจะรู้ผลที่เกิดขึ้นก่อนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกคลื่นไส้อย่างอดไม่ได้อยู่ดี
เธอพยายามหักห้ามความรู้สึกสะอิดสะเอียนเอาไว้ ก่อนจะพูดถามขึ้น“คนพวกนั้นตายจริงๆแล้วเหรอ?”
เฟิงยี่พยักหน้า
เหมือนกับกลัวเธอเป็นกังวล เขาเงยหน้าขึ้นมามองเธอ สายตานิ่งขรึม“พวกนั้นก็เป็นพวกที่ชอบทำแต่เรื่องชั่วๆทั้งนั้น มันเกิดขึ้นจากความขัดแย้งกันภายใน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกเศร้าเสียใจอะไรมากมายหรอก”
ถังลั่วเหยาฝืนยิ้ม
แม้ว่าเหตุและผลจะเป็นแบบนี้ แต่ถึงยังไงก็เป็นคนที่ตนเองเคยเห็นหน้าเห็นตามาก่อน บอกว่าตายก็ตายไปแล้ว แถมยังใช้วิธีการที่โหดร้ายแบบนี้อีก
ถึงจะคิดยังไง แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
ถึงยังไงเธอก็เป็นคนปกติทั่วไป แม้ว่าจะใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบากก็ตาม แต่ภายใต้การปกป้องเบี้ยงดูจากแม่ถัง ก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนว่าโลกใบนี้มันดำมืดได้มากขนาดนี้
ดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกยากที่จะรับไหว
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว เนื่องจากถังลั่วเหยายังต้องไปทำธุระที่สถานีตำรวจต่อ เฟิงยี่จึงไปเป็นเพื่อนเธอ
จริงๆแล้วเรื่องราวทั้งหมดมันก็ถูกเปิดโปงมาหมดแล้ว เธอก็แค่ไปทำเรื่องตามขั้นตอนเท่านั้น จึงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ
ความดำมืดและสกปรกของโลกใบนี้ เธอเจอมาแล้วหนึ่งครั้ง ไม่อยากจะเจออีกเป็นครั้งที่สอง
พอออกมาจากสถานีตำรวจ เฟิงยี่ก็พูดขึ้นมาทันที“พวกเขาจะไล่ตามจับคนที่สมรู้ร่วมคิดของผู้ช่วยคนนั้น ดังนั้นหลังจากนี้ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว แต่ว่าสถานะของคุณไม่ธรรมดา เวลาเข้าออกก็ควรจะพาบอดี้การ์ดสองคนไปด้วยจะดีที่สุด ถึงตอนนั้นผมจะจัดเตรียมให้คุณเอง ล้วนแต่เป็นคนที่มีประสบการณ์เชื่อถือได้ทั้งนั้น พาไปด้วยจะมีประโยชน์กับคุณมาก”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถังลั่วเหยาอาจจะปฏิเสธข้อเสนอนี้ไปแล้ว
แต่ตอนนี้ เธอกลับไม่พูดอะไร พยักหน้า ยอมรับเอาไว้
เธอรู้ดี ว่าตัวเองในตอนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเลยด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนเธอเอาแต่นึกว่าตนเองเก่งมากๆ เก่งถึงขนาดที่ไม่ต้องให้ใครมาปกป้อง สามารถปกป้องตนเองและแม่ได้
แต่พอผ่านเรื่องราวในครั้งนี้มา เธอกลับพบว่า ความเก่งของเธอนี้ พออยู่ต่อหน้าคนที่เก่งกาจจริงๆ กลับไม่คุ้มค่ากับการที่จะเอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงพวกคนที่เก่งกาจจริงๆพวกนั้นหรอก ต่อให้อยู่ต่อหน้านักเลงแบบเหอศื่อ ก็รับมือไม่ไหวแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าเพื่อตนเองหรือว่าเพื่อแม่ เธอมีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธได้อีกเหรอ?
พอเห็นเธอรับข้อเสนอของตัวเองแล้ว อารมณ์ของเฟิงยี่ก็ดีขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยื่นมือออกมา กุมมือของเธอเอาไว้
ร่างกายของถังลั่วเหยาชะงักไปเล็กน้อย หันมามองเขา
กลับเห็นเขาไม่ได้มองตัวเองเลย แต่สายตามองไปนอกหน้าต่าง
แต่สิ่งที่ได้เห็นจากมุมหน้าข้างของเขาก็คือมุมปากที่กำลังยกขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกว่าเขากำลังรู้สึกดีใจ
จิตใจของถังลั่วเหยาจู่ๆก็รู้สึกอ่อนโยนขึ้นมา แสงแดดที่อบอุ่นสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง แล้วก็สาดเข้ามาในใจของเธอด้วยเช่นกัน
เธอแอบคิดเงียบๆในใจ
บางทีเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ดีมากจริงๆ ที่มีเขาอยู่ด้วย มีแม่อยู่ด้วย อย่างอื่นก็ไม่ต้องคิดถึงแล้ว แล้วก็ไม่อยากที่จะคิดถึงมันอีกแล้วด้วย